วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

69.The Rain Came Down

By David Shannon

นิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้สามารถนำเรื่อง "ฝนตก" มาผูกเรื่องได้ดูยุ่งเหยิงและน่าสนใจมาก ซึ่งทำให้อ่านแล้วมีอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อเรื่อง อาจจะเนื่องจากการวาดรูปที่เป็นเอกลักษณ์ของ David Shannon  ผู้ซึ่งได้รับรางวัล Caldecott ในปี 1998 จากเรื่อง No, David !!

เรื่องเริ่มต้นเมื่อเช้าวันเสาร์ที่ฝนตกท จึงงทำให้ไก่ร้อง แมวก็เลยร้องใส่ไก่ หมาก็เห่าแมว ผู้ชายคนหนึ่งก็เลยตะโกนบอกให้หมาหยุดเห่า เด็กน้อยตื่นขึ้น ภรรยาตะโกนบอกสามีให้หยุดตะโกน ตำรวจได้ยินเสียงดังจึงหยุดรถที่ถนน เืพื่อจะเ้ข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น รถของเค้าขวางทางถนน ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งอยู่ในรถแท๊กซีจะไปขึ้นเครื่องบินไม่ทัน แท๊กซีจึงบีบแตรใส่ ซึ่งทำให้คนขับรถบรรทุกมะเขือเทศซึ่งอยู่ข้างหน้าอารมณ์เสียบีบแตรกลับ รถไอศกรีมเปิดเสียงเพลงดังกลบเสียงแตร เจ้าของร้านขายของชำออกมาดูเพื่อรอมะเขือเทศมาส่ง กลับชนกับผู้หญิงคนหนึ่งจนทำให้ผลไม้ในแผงของเค้ากระเด็นกระดอนออกมาหมด

เมื่อฝนหยุด สายรุ้งทอดพาดผ่านหลังคา ทุกคนที่โกรธและโมโหกันอยู่ก็กลับมายิ้มแย้ม และกลับไปทำไปทำหน้าที่ของตัวเองตามเดิม ครอบครัวของเด็กน้อยก็เลยออกมานั่งปิคนิคที่สวนหลังบ้าน

อ่านจบแล้วทำให้คิดได้ว่า บางครั้งเรื่องเล็กนิดเดียวสามารถกลายเป็นเรื่องใหญ่ และ เกิดปัญหาได้ ในขณะเดียวกันการแก้ปัญหาก็ง่ายนิดเดียว แค่เรามองไม่เห็นเท่านั้นเอง

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

68.Portly Mcswine

By James Marshall

เดาไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับนิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้เมื่อดูที่หน้าปกอย่างเดียว ซึ่งต่างจากนิทานเรื่องอื่นที่หน้าปกและชื่อเรื่องสามารถบอกเรื่องราวได้บางส่วน เมื่อเปิดเข้าไปและอ่านไปเรื่อยๆถึงได้รู้ว่านิทานเรื่องนี้สอนแปลกจากเรื่องอื่นคือเรื่อง "ความกังวล" ผู้เขียนคงอยากจะชี้ว่าคนที่มีนิสัยขี้กังวลไปทุกอย่างจะรู้สึกอย่างไร แสดงออกอย่างไร แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร

Portly Mcswine มีแผนจะจัดงานปาร์ตี้ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเค้าไม่เคยจัดงานปาร์ตี้มาก่อนจึงรู้สึกกังวลมาก มีคำถามเกิดขึ้นตลอดเวลาว่า ถ้าเค้าป่วยในวันงานปาร์ตี้จะทำอย่างไร เค้าจึงไปหาหมอเพื่อฉีดวัคซีนป้องกัน แล้วถ้าปาร์ตี้ไม่สนุก เพื่อนๆจะบ่นหรือเปล่า เค้าจึงซ้อมเล่าเรื่องสนุกๆ เมื่อเค้าเดินไปเจอเพื่อนถามว่ามีของว่างในงานปาร์ตี้ไหม เค้าก็กังวลอีกว่าของว่างจะอร่อยหรือเปล่า คืนนั้นเค้านอนไม่หลับ เฝ้าแต่คิดและหาทางป้องกันให้ปาร์ตี้ออกมาดีที่สุด

แล้วก็มาถึงวันงานปาร์ตี้ เพื่อนๆทุกคนชมว่าเป็นงานปาร์ตี้ที่ดีมาก และก็มีบางคนบอกว่า ไม่อยากรอให้ถึงงานปาร์ตี้ปีหน้าเลย เมื่อคำพูดนี้กระทบกับหูของเค้า เพื่อนๆคิดว่าเค้าจะคิดอย่างไรต่อไปคะ ใช่ค่ะ เค้าเริ่มคิดวางแผนงานปาร์ตี้สำหรับปีหน้า และก็เริ่มกังวลว่างานปาร์ตี้ปีหน้าจะดีเท่าปีนี้หรือเปล่า

ผู้เขียนมีหยอดมุกให้ขำๆตอนท้ายอีกต่างหากนะคะ คนขี้กังวลก็คงเป็นแบบนี้นะคะ กังวลได้ทุกเรื่อง เล็กเองก็เป็นเหมือนกัน กลัวว่าจะออกมาไม่ดี อยากทำให้ดีที่สุด ซึ่งบางครั้งการที่เรากังวลมากเกินไปทำให้เครียดเปล่าๆ สู้ทำให้เต็มที่ไปเลย ผลเป็นอย่างไรมาวัดกัน หนังสือเรื่องนี้ำได้ทำหน้าที่ชี้ให้เด็กๆเห็นเรื่องความขี้กังล และยังได้เรียนรู้กับนิสัยดังกล่าวนี้ด้วย

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

67.Moral Education


มีคุณแม่หลายท่านที่สอบถามมาให้หาหนังสือที่สอนเกี่ยวกับสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวัน และ เรื่องมารยาทสำคัญในการดำเนินชีวิต เล็กว่าหนังสือชุดนี้เหมาะอย่างยิ่ง เนื่องจากใช้คำสั้นๆง่ายๆ เข้าใจได้ในทันที นอกจากนั้นเราสามารถนำเอาประโยคด้านบนในหนังสือมาพูดกับลูกได้ในชีวิตประจำวันได้เลย

หนังสือชุดนี้เป็นหนังสือใหม่ ปกอ่อน ประกอบด้วยกัน 8 เล่ม เ้ป็นหนังสืออ่าน สีสันสวยงาม 4 เล่ม  และ หนังสือแบบฝึกหัด 4 เล่ม โดยแต่ละเล่มจะมีกิจกรรมตั้งแต่ที่บ้าน ตื่นนอน อาบน้ำ แปรงฟัน การรับประทานอาหาร การไปโรงเรียน การแบ่งปัน

การเข้าคิว

ไม่เล่นกับของมีคม


ส่วนหนังสือแบบฝึกหัดเป็นกระดาษขาวดำ จะเป็นลักษณะย้ำอีกครั้ง เพื่อให้เด็กได้คิด โดยจะมีการ กากบาท โยงเส้น จับคู่ ระบายสี ติ๊กถูกผิด เรียงลำดับ


ได้ประโยชน์หลายอย่างแบบนี้ ไม่ควรพลาดนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2557

66.A Surprise For Mrs.Dodds

By Kathy Long 
Illustrated by Kathy Rogers
คงจะมีซักช่วงหนึ่งของชีวิต ที่เด็กๆของเราอาจจะชอบทำตามเพื่อนเืพื่อให้สามารถอยู่ในกลุ่มได้ และให้เพื่อนยอมรับในตัวเค้า แต่ถ้ากลุ่มเพื่อนของลูกเป็นแก๊งเด็กซ่า จะเกิดอะไรขึ้น จะทำอย่างไรได้บ้าง พ่อแม่บางส่วนคงบอกว่่าให้ลูกเลิกคบกับเพื่อนกลุ่มนั้น แต่บางครั้งเราคงต้องปล่อยให้เด็กๆคงเรียนรู้เองว่าสิ่งที่ทำอยู่ดีหรือไม่ดี โดยพ่อแม่คอยแนะำนำและคอยดูอยู่ใกล้ๆ

Mrs.Dodds เป็นหญิงชราผู้ไม่เคยยิ้ม อาศัยอยู่ในบ้านเก่าๆหลังหนึ่ง เธอมักจะตะโกนไล่ทุกคนที่เดินผ่านหน้าบ้านของเธอ เมื่อกลุ่มเด็กโยนหินเข้าในบ้านของเธอและตะโกนว่าเธอ เธอก็มักจะไล่เด็กๆออกจากแนวรั้วบ้านของเธอ วันหนึ่งเด็กชายชื่อ Nathan ย้ายบ้านมาอยู่ในเมืองนั้น เค้าเหงา อยากได้เพื่อน จึงไปเล่นกับเพื่อนๆกลุ่มนั้น แล้วก็ตามเพื่อนๆไปขว้างก้อนหินใส่บ้านของหญิงชรา

วันหนึ่งก้อนหินที่เด็กๆกว้างทำให้กระจกบ้านของหญิงชราแตก หญิงชรานั่งร้องไห้ เค้าเริ่มรู้สึกผิด เค้าจึงมีความคิดดีๆเกิดขึ้น เค้าเริ่มนำดอกไม้ไปวางไว้ในกล่องจดหมายหน้าบ้านของหญิงชราทุกวัน เป็นครั้งแรกที่หญิงชรายิ้มในรอบปี เด็กชายได้รับคุ๊กกี้เป็นการตอบแทนน้ำใจจากหญิงชราทุกวัน 


หญิงชราเริ่มยิ้มมากขึ้น เนื่องจากเด็กชายได้แวะมาที่บ้านหญิงชราทุกวัน เธอได้เ่ล่าเรื่องราวต่างๆมากมายให้เค้าฟัง เมื่อแก๊งเพื่อนของเด็กชายพากันมาที่บ้านของเธอ เธอไม่ตะโกนไล่เด็กๆแล้ว กลับชวนเด็กๆมาทานคุ๊กกี้ เธอก็ไม่เหงาอีกต่อไป

อ่านจบแล้วรู้สึกประทับใจถึงมิตรภาพ ความอ่อนโอน ความเอื้ออาทร จะเห็นว่า "การให้" ของเด็กชายทำให้หญิงชราเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยทำมานาน ให้กลายเป็นอีกคนหนึ่ง วันนี้คุณหยิบยื่นสิ่งใดให้กับใครหรือยังคะ

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557

65.The Little People's Guide to the Big World

Written and Illustrated by Trevor Romain
เจอหนังสือเกี่ยวกับคู่มือเรื่องต่างๆของเด็กอีกแล้วค่ะ คราวนี้มีด้วยกัน 44 เรื่องในเล่ม แต่ละเรื่องแสนจะประทับใจ ซึ่งจะแตกต่างจากเล่มก่อนที่เล็กเคยรีวิวคือ The Easy How-To Book เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2557 ตรงที่เล่มนี้จะสอนในแนวนามธรรมมากขึ้น โตขึ้นนิดหนึ่ง รูปน้อยหน่อย แต่ใช้คำสอนง่ายๆ เด็กเข้าใจง่ายแน่นอน ที่สำคัญเล่มนี้เป็นหนังสือปกอ่อนที่เหมือนใหม่จริงๆค่ะ



Getting Lost
The best thing to do
is stay where you are
your parents will find you
if you don't go too far.

If you're in a store
or a big shopping mall
ask a cashier
to give them a call.







Helping Out
We all do chores
it's part of life
for son and daughter
husband and wife.
Cleaning up
is always a pain
you have to do it
and do it again



Fire
If you're at home
and a fire breaks out
let everyone know by giving a shout.

Walk, don't run
in case you might fall
and once you're out
give the firemen a call.


If the room fills with smoke
and you're still indoors
get close to the floor
and crawl on all fours.




วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

64.The House of Four Seasons

By Roger Duvoisin
 หยิบหนังสือนิทานเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะว่าอ่านชื่อเรื่องแล้วเข้าท่า คาดว่าน่าจะได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องฤดู แต่กลับได้มากกว่านั้น เพราะว่าผู้เขียนได้สอนเรื่องแม่สี และการผสมสี เพิ่มขึ้นมา พร้อมทั้งวิทยาศาสตร์บางส่วนด้วย นอกจากนั้นทำให้รู้ว่าตัวเองก็มี sense ในการเลือกหนังสือที่คุ้นเคย เพราะว่าไปหาข้อมูลของผู้เขียนปรากฎว่าเป็นผู้วาดรูปเรื่องเดียวกับเรื่อง The Happy Lion ที่เคยรีวิวไว้เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2557 ลำดับที่ 35 อาจเป็นเพราะการใช้เทคนิคในการวาดที่ดูเหมือนจริง พร้อมกับสีที่ดูจริงใจ ง่ายๆ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน และที่สำคัญหนังสือของผู้เขียนท่านนี้แต่ละเล่มที่เจอมีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี เนื่องจากท่า่นมีชีวิตอยู่ในช่วงปี คศ. 1904-1980 สำหรับหนังสือเล่มนี้อายุ 58 ปี แล้วค่ะ

มีครอบครัวหนึ่งขับรถไปต่างจังหวัดเพื่อมองหาบ้านใหม่ เค้าเลือกบ้านที่ดูเก่า บานเกล็ดห้อยไปมา พร้อมทั้งมีนกฮูกอาศัยอยู่บนชั้นใต้หลังคา พ่อบอกว่าเลือกบ้านนี้เพราะว่านกฮูก พวกเค้าเรียกช่างมาซ่อมบ้าน และจะทาสีเอง แต่ละคนก็ชอบสีแตกต่างกัน

น้องคนเล็กชอบให้บ้านเป็นสีแดง หน้าต่างบานเกล็ดเป็นสีเขียว เพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 
พี่คนโตชอบให้บ้านเป็นสีเหลือง หน้าต่างบานเกล็ดเป็นสีม่วง เพื่อต้อนรับฤดูร้อน
แม่ ชอบให้บ้านเป็นสีน้ำตาล หน้าตางบานเกล็ดเป็นสีฟ้า เพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ร่วง
พ่อ ชอบให้บ้านเป็นสีเขียว หน้าต่างบานเกล็ดเป็นสีส้ม เพื่อต้อนรับฤดูหนาว
ทุกคนเลยบอกว่าจะทาสีบ้านแต่ละด้านให้เป็นสีที่ตัวเองอยากได้ตามฤดู

เมื่อไปที่ร้านขายสี พนักงานบอกว่ามีสีแค่ 3 สี คือ แดง เหลือง ฟ้า พ่อก็เลยซื้อกลับมาบ้านแล้วผสมสีให้ลูกๆดูเพื่อให้ได้สีตามต้องการ แต่แล้วพ่อก็มีความคิดดีๆ โดยทาสีที่กระดาษแข็งรูปวงกลม นำเชือกมาเจาะรูตรงกลาง แล้วหมุนเชือก ปรากฎว่าทุกสีรวมตัวกันเป็นสีขาว
This trick shows that white is made of all colors.
แล้วพวกเค้าก็ได้ข้อสรุปเรื่อง "สี" ของบ้านพวกเค้า



วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

63.Victor & Vikki-Veterinarian

By Written by Steven Fink
                                                            Illustrated by Neil Nakahara                                                                                                                        
ไม่เคยได้เห็นหนังสือนิทานภาษาอังกฤษเกี่ยวกับอาชีพโดยเฉพาะอาชีพ "สัตวแพทย์" เลยตั้งแต่คลุกคลีกับหนังสือมาหลายปี วันนี้มาเห็นเล่มนี้ก็อดหยิบมาดูไม่ได้ Veterinarian คำที่สะดุดตา และก็ยิ่งแปลกใจเมื่อเห็นว่าเป็นบอร์ดบุ๊คเล่มใหญ่และหน้าปกเขียนอย่างเชิญชวนให้เปิดอ่านว่า "You are what you Read" เล็กว่าหนังสือเล่มนี้ประสงค์ให้เด็กๆเข้าใจอาชีพสัตวแพทย์อย่างง่ายๆ จึงสื่อสารออกมาให้เด็กเข้าใจง่ายๆว่าอาชีพนี้ต้องทำอะไรบ้าง อ่านแล้วก็น่ารัก เข้าใจง่าย ซ้ำยังมีคำพ้องเสียงคล้ัองจองกันทุกหน้า สำหรับเด็กเล็กคุณแม่อ่านให้ฟัง เข้าใจง่าย ส่วนเด็กโตหน่อยให้อ่านเองเพราะว่าคำไม่ยาก

Victor  และ Vikki มีโรงพยาบาลอยู่บนเขา พวกเค้ากำลังศึกษาอย่างหนักเพื่อจะช่วยเหลือสัตว์ต่างๆ ที่กำลังเดินทางมาที่โรงพยาบาล

พวกเค้าช่วยคุณหมาบลูดอก โดยใส่เฝือกที่ขา และคลายปมที่แน่นของคุณงูออกมา

เมื่อคุณสิงโตวิ่งร้องไห้เข้ามาหา ทั้งสองตกใจ แต่ก็ได้ช่วยสิงโตได้สำเร็จ 


วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557

62.Who Wants an Old Teddy Bear?

By Ginnie Hofmann
 เจอนิทานที่อ่านแล้วหัวเราะ และ ได้ข้อคิดเรื่อง "เอาใจเค้ามาใส่ใจเรา" "คิดถึงใจคนอื่นบ้าง" อ่านไปก็รู้เลยว่าเค้าจะสอนเรื่องอะไรให้เด็กๆ รู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ดีจัง โดยผู้เขียนนำเอาเรื่องตุ๊กตาหมีมาผูกเรื่องได้ลงตัวโดยให้เด็กผู้ชายเป็นผู้นำถ่ายทอดเรื่องราว ใครที่ชอบตุ๊กตาหมีน่ารักๆ ไม่ควรพลาดเพราะว่าเค้าวาดตุ๊กตาหมีดูธรรมดาๆ แต่ว่าแสดงออกถึงความรู้สึกได้ด้วยค่ะ

วันหนึ่ง Andy ได้รับพัสดุจากคุณยายเป็นตุ๊กตาหมี เค้าผิดหวังเนื่องจากคิดว่าของขวัญน่าจะเป็นจรวดที่เค้าอยากได้ เค้าพูดว่า Who wants and old teddy bear? แล้วก็เตะเจ้าตุ๊กตาหมี

เมื่อถึงเวลานอน เค้าก็ฝันว่าเค้ามีร่มวิเศษพาเค้าบินไปบนท้องฟ้า เค้าเจอกับกองทัพตุ๊กตาหมีบินตามเค้าไป จนถึงเช้าเค้าบินลงมาที่เมืองตุ๊กตาหมี คุณยายหมีเห็นมนุษย์ตัวเล็กๆ จึงจับเค้ายัดใส่กล่องห่อแล้วส่งพัสดุไปให้หลานหมี

เมื่อหมีน้อยเปิดพัสดุเห็นเป็นเด็กผู้ชายถือร่ม หมีน้อยผิดหวังจึงเตะเด็กชายขึ้นบนอากาศ เด็กชายร้องไห้ หมีน้อยจึงปลอบเค้าและหันมาเล่นกับเค้าจนถึงเวลานอนของหมีน้อย เด็กชายกล่าวลาแล้วบินกลับไปด้วยร่มวิเศษ เรื่องจบที่หลังจากนั้นเป็นต้นมา เด็กชายก็ชอบตุ๊กตาหมี

61.The Friendly Robot

By Carolyn Sloan
Illustrated by Jonathan Langley 
การมีเพื่อนเป็นหุ่นยนต์คงเป็นอะไรที่เท่ห์และมีความสุขน่าดูนะคะ ผู้เขียนแต่งเรื่องนี้ไว้เมื่อ 28 ปี ที่แล้ว ซึ่งวิทยาการเรื่องเทคโนโลยีคงยังไม่ค่อยก้าวไกลเท่าไร เล็กคาดว่าผู้เขียนคงต้องชอบเรื่องเกี่ยวกับหุ่นยนต์เป็นการส่วนตัว จึงสามารถจินตนาการและนำมาเขียนเป็นเรื่องราวถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่ารัก เหมาะสมกับวัยเด็ก

พ่อของ Paul เป็นผู้ประกอบหุ่นยนต์ตัวหนึ่งชื่อว่า 179 พ่อผิดหวังจากที่คาดว่าจะสามารถทำงานแทนผู้ชาย 6 คนในโรงงานได้ แต่ว่ามันทำไม่ได้ Paul ขออนุญาตพ่อนำหุ่นยนต์ขึ้นมาในห้องซึ่งรกมาก เนื่องจากมันถูกตั้งโปรแกรมไว้ จึงสามารถทำความสะอาด จัดห้องให้เค้าไ้ด้เป็นอย่างดี

เมื่อพ่อเห็นว่าหุ่นยนต์สามารถเล่นกับ Paul ได้ จึงนำหุ่นยนต์ไปที่ทำงาน แต่ว่าเจ้า 179 ไม่ยอมทำงาน เด็กชายแอบพา 179 ออกไปโรงเรียนด้วยกัน 179 สามารถจัดแยกหนังสือ เล่นเปียโน ลูกแก้ว ระบายสี ทำความสะอาดห้องเรียน จนครูชื่นชม เมื่อพ่อจะพา 179 ไปทำงานอีกครั้ง ครูจึงห้ามไว้แล้วบอกว่าควรจะพา 179 มาโรงเรียนเพราะว่า 179 ยังเด็กไปที่จะทำงาน

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

60.The Easy How-To Book

By Seymour Reit
Pictures by William Dugan
  หนังสือคู่มือ How-To เล่มนี้บรรจุเรื่องต่างๆที่สอนเด็กไว้มากถึง 61 เรื่อง ตั้งแต่เริ่มเขียนหนังสือ มือไหนมือซ้าย มือขวา การใส่เสื้อ การผูกเชือกรองเท้า เรื่องในบ้าน ในครัว ในสวน สัตว์เลี้ยง  การรินน้ำ การเทซอสมะเขือเทศ สารพัดเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเด็ก สามารถใช้เป็นคู่มืออ่านให้ลูกฟัง บางเรื่องที่เล็กอ่านแล้วเพิ่งรู้ว่าฝรั่งเค้าสอนวิธีจำให้เด็กแบบง่ายๆอย่างนี้นี่เอง

How to tell you left hand from your right hand
วิธีสอนของเค้าคือให้ยกหลังมือเข้าหาตัวเอง กางนิ้งโป้งออกตามรูป จะเห็นรูป L ก็ให้รู้ว่ามาจากคำว่า Left ซึ่งก็คือมือซ้าย อ่านแล้วก็....อืม....จริงของเค้า หันไปถามลูกว่าหนูทำอย่างไรถึงจำได้ ลูกบอกว่าจำที่มือขวา Right Hand เอาไว้ Write อืม....จริงของลูก จำง่ายกว่าซะด้วย

How to understand about A.M. and P.M.
อันนี้อ่านแล้วก็อึ้ง เพิ่งรู้ว่ามีเคล็ดลับการจำแบบนี้ พอเด็กขึ้น ป.2 วิชาภาษาอังกฤษจะเริ่มเรียนเกี่ยวกับนาฬิกา ช่วงเช้าและบ่ายแบ่งกันโดยใช้ A.M. และ P.M. ตอนแรกเล็กเองสอนวิธีจำว่า A.M คือตอนเช้าก่อนเที่ยง ส่วน P.M ช่วงบ่าย โดยให้จำว่า A มาก่อน M ตามที่ได้การสอนมา แต่เมื่ออ่านหนังสือแล้วดีกว่าค่ะ เค้าบอกให้จำว่า  A.M. มาจาก All Morning

How to peel a hard boiled egg
การแกะเปลือกไข่ต้มแบบง่ายๆ เคล็ดลับคือต้องรอให้แน่ใจว่าไข่ต้มเย็นลงแล้ว ให้วางไข่บนช้อนใต้ก๊อกน้ำเย็นที่ไหลผ่าน แล้วใช้ช้อนเคาะเปลือกไข่ให้ทั่ว แล้วนำไข่วางกลับบนช้อนใต้ก๊อกน้ำเย็นที่ไหลผ่านอีกครั้งหนึ่ง เปลือกไข่จะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย

เคล็ดลับแต่ละอย่างน่าสนใจมากๆค่ะ อ่านแล้วได้ความรู้ และเป็นไกด์นำทางให้เด็กๆได้ดีมากค่ะ


วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

59.The Grape Jelly Mystery

Written by Olive Blake
Illustrated by Joan E.Goodman
 นอกจากนิทานเกี่ยวกับเวทมนต์ที่บ้านเราชอบกันแล้ว นิทานภาษาอังกฤษเล่มไหนที่มีคำว่า Mystery ก็ไม่รอดจากสายตาของเราแม่ลูก เริ่มต้นจากที่เล็กอ่านนิทานให้เนยฟังเรื่องเกี่ยวกับนักสืบ แล้วเค้าชอบมาก จึงเลียนแบบการแต่งตัวของนักสืบ การใช้แว่นขยาย การคิดวิเคราะห์ต่างๆ หลังจากนั้นเมื่อเห็นนิทานเรื่องไหนที่ลึกลับน่าสนใจ เล็กก็จะหยิบมาวางๆไว้ใกล้ๆกับที่ๆลูกจะมานั่ง ลูกก็จะเปิดอ่านโดยอัตโนมัติ

สามพี่น้องช่วยกันทำแซนวิชแยมองุ่นทานกันอยู่ในครัว พวกเค้าวุ่นกับการทำความสะอาดแยมองุ่นที่หกเลอะเทอะไปทั่ว ไม่เว้นแม้แต่กระดาษโน้ตที่แม่ทิ้งไว้
Important! I went to the _ _ t store. Be sure everything is ready. See you soon. Love and kisses, Mom
โดยแยมหกเลอะอักษร 2 ตัวหน้า ทำให้ไม่รู้ว่าแม่ทิ้งข้อความไว้ว่าอย่างไร พวกเด็กช่วยกันเดาไปต่างๆนานา

พวกเค้าเดากันว่าแม่จะไปที่ไหน ไปร้านอะไร โดยพยายามใส่อักษร 2 ตัวเข้าไปดังนี้  Ant Store / Art Store / Hat Store / Mat Store ขณะที่เดาไปก็ทำความสะอาดห้องนอน ห้องครัว เตรียมโต๊ะอาหาร จัดดอกไม้ ทำการ์ด เมื่อแม่กลับมาบ้าน พวกเค้าก็ได้เห็นอะไรบางอย่างที่เบาะด้านหลังรถ ใช่แล้วค่ะ แม่ไป Pet Store นั่นเองเพื่อซื้อลูกหมามาเลี้ยงตามที่สัญญากันไว้ แม่เหนื่อยมากไ่ม่ลืมที่จะขอให้เด็กๆทำแซนวิชแยมองุ่นให้ทาน

วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557

58.The Forgetful Bears Meet Mr.Memory

By Larry Weinberg
Illustrated by Bruce Degen
 ไม่ได้อ่านนิทานภาษาอังกฤษตลกๆอย่างนี้มานานแล้วค่ะ เกี่ยวกับความขี้ลืมของครอบครัวหมี ซึ่งหลงๆลืมๆกันทุกคนตั้งแต่คุณปู่ คุณพ่อ คุณแม่ พี่ และ น้อง จนต้องเขียนป้ายบอกไว้ตามจุดต่างๆว่าต้องทำอะไรบ้าง อ่านแล้วก็คิดถึงตัวเองว่าพอเราอายุเยอะๆเราจะขี้ลืมขนาดนี้หรือเปล่า เพราะว่าตอนนี้ตัวเองก็ขี้ลืมเหมือนกัน ต้องจดสิ่งที่จะทำไว้ในสมุดโน้ตและปฎิทินตลอดเวลา มาดูกันว่าความขี้ลืมมีผลอย่างไร และพวกเค้าสามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไร

เช้าวันหนึ่งนาฬิกาปลุกในบ้านของครอบครัว Forgetful ดังขึ้นพร้อมๆกัน 4 เครื่อง ทุกคนตื่นขึ้นมาพร้อมกับคำถามว่าทำไมเราถึงตื่นเช้ากันแบบนี้ แล้วเด็กๆก็เห็นป้ายเขียนว่า
"Don't Forget  Your Trip!"
ไ่ม่มีใครจำได้เลยค่ะว่าจะไปเที่ยวที่ไหน คุณแม่บอกว่าไม่เป็นไร รีบไปเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเดี๋ยวก็จำได้เอง 
เมื่อแต่งตัวเสร็จพร้อมเดินทางเมื่อไปถึงประตูก็มีป้ายเขียนไว้ว่า ให้กลับไปใหม่เพราะว่าลืมกระเป๋า แล้วก็เป็นจริง เพราะว่าคุณพ่อลืมกระเป๋าไว้ที่ตู้ ระหว่างทางที่จะเดินไปหยิบกระเป๋า พ่อก็ลืมว่าจะทำอะไรก็เลยเดินออกประตูหลังไปหยิบถุงขยะขึ้นรถแทน

เมื่อไปถึงสนามบินก็พบว่าถุงที่พ่อหยิบมาเป็นขยะ พ่อเลยต้องกลับบ้านไปเอากระเป๋าเดินทางอีกครั้ง เมื่อจะขึ้นเครื่องบินก็พบว่าลืมตั๋วเครื่องบิน ทุกคนก็เลยกลับบ้านมาหาตั๋วเครื่องบิน ระหว่างที่ค้นหาตั๋วเครื่องบิน ทุกคนเจอของที่เคยลืมไว้หลายชิ้น แต่ก็ไม่เจอตั๋วเครื่องบิน

จนมีแขกมาที่บ้านชื่อว่า Mr.Memory ทำให้ครอบครัวหมีหาตั๋วเครื่องบินเจอ พวกเค้าดีใจกันมากแม้ว่าจะเลยเวลาขึ้นเครื่องบินแล้ว เพราะว่าตั๋วระบุว่าวันที่บินคือวันพรุ่งนี้ ในที่สุดพวกเค้าก็ได้ไปเที่ยวฮาวาย

อ่านจบแล้วแอบเป็นห่วงว่า จะจำได้ไหมว่า้ต้องกลับวันไหน แล้วจะจำบ้านตัวเองได้ไหม จะกลับบ้านกันถูกไหมเนี่ย

57.Franklin is Bossy

By Paulette Bourgeois / Brenda Clark
นิทานภาษาอังกฤษเรื่องเกี่ยวกับการชอบออกคำสั่งเล่มนี้ ถึงแม้ภายนอกจะดูเก่าไปบ้าง แต่ด้านในก็สอนลักษณะนิสัยให้แก่เด็กๆได้ดีทีเดียว เพราะบางครั้งเด็กๆไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนชอบสั่งโน่นสั่งนี่ จนกว่าเด็กๆจะมีเพื่อน และเพื่อนจะเป็นผู้บอกให้เด็กปรับตัวเองเพื่ออยู่ในสังคมได้

ในฤดูร้อน Franklin บอกเพื่อนๆให้มาเล่นลูกแก้ว เมื่อเบื่อก็เล่นวิ่งแข่งกัน ปรากฎว่าหมีเป็นผู้เข้าเส้นชัยคนแรก ส่วนเค้าเข้าเส้นชัยคนสุดท้ายจึงบอกว่าคนเข้าเส้นชัยคนสุดท้ายชนะ แล้วเค้าก็ชวนเืพื่อนเล่นเบสบอลต่อ เพื่อนๆเริ่มไม่พอใจไม่อยากจะเล่นกับเค้าอีกแล้ว เค้าจึงกลับบ้าน ไปเล่นคนเดียว

หลังจากนั้นเมื่อเค้าเบื่อ จึงออกมาหาเพื่อนๆอีกครั้ง มาชวนเล่นบอลกัน แต่หมีก็บอกว่าไม่ต้องการเล่นกับคนชอบออกคำสั่งแบบเค้า ทั้งคู่ทะเลากัน  Franklin กลับบ้าน เริ่มใช้เวลากับตัวเอง และเริ่มคิดอะไรได้หลายอย่าง วันถัดมาเค้าก็เดินออกมาหาเพื่อจะไปหาหมีเพื่อขอโทษ ทั้งคู่เข้าใจกัน และชวนกันไปเล่นกับเพื่อนๆอย่างมีความสุข

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

56.TV or Not TV

By Ann Brown
Illustrated by Tome Leigh
เด็กกับการดูทีวีดูเหมือนเป็นของคู่กันอย่างไรบอกไม่ถูก ยิ่งช่วงปิดเทอมแบบนี้ที่เด็กๆต้องอยู่บ้านและคุณพ่อคุณแม่ไปทำงานข้างนอก ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กก็คงต้องปล่อยเด็กอยู่กับทีวีบ้างไม่มากก็น้อย เนื่องจากคงจะประกบเด็กตลอดเวลาไม่ไหว ตอนที่เล็กยังทำงานประจำอยู่ เมื่อถึงช่วงปิดเทอมก็ต้องทำใจเพราะว่าคุณยายก็ดูทีวีเกือบตลอดทั้งวัน ลูกเราก็ดูทีวีไปโดยปริยาย ไม่สามารถทำอะไรได้  การดูทีวีก็มีส่วนดีเหมือนกันสำหรับดูกันทั้งครอบครัว สร้างสายสัมพันธ์ พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆได้ แต่ควรจะมีปริมาณเวลาที่พอดี ไม่มากเกินไป สำหรับนิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้จะชี้ให้เห็นถึงโทษของการดูทีวีมากเกินไป

เมื่่อถึงเวลาเลิกเรียนกลุ่มเพื่อนๆ Muppet Kids คุยกันว่าจะทำอะไร แล้วพวกเค้าก็นึกถึง Gonzo ขึ้นมาได้ว่าหมู่นี้ดูแปลกๆ เวลาคุยด้วยเหมือนเค้าไม่ค่อยจะได้ยิน พวกเค้าจึงพากันไปบ้านของ Gonzo เมื่อมาถึงเห็นเค้านั่งดูทีวีอยู่ เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า Gonzo คงมีอาการ
 "STATIC"  It stands for Somewhat Terribly Awful Television-Itis Condition
ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากดูทีวีมากเกินไป ดูตลอดเวลา ไม่สนใจคนอื่น ไม่ทำการบ้าน ไม่ไปเล่นข้างนอก พวกเพื่อนๆจึงเข้าไปพูดคุยเพื่อจะดึงเพื่อนกลับมาเป็นคนเดิม แต่ Gonzo ก็ไม่ขยับเลย เค้าได้แต่มองไปที่ทีวีทั้งๆที่เพื่อนๆเข้ามาบังไว้

หลังจากนั้นไม่กี่วัน Gonzo มีอาการแย่ลงไปอีก เมื่อครูเรียกให้ตอบคำถามก็ตอบไม่ได้ เมื่อเพื่อนร้องตะโกนให้หลบลูกบอล เค้าก็ไม่ได้ยิน ลูกบอลจึงกระแทกที่หัวเค้า เค้าไม่พูดกับใคร ไม่ไปซ้อมกีฬา เอาแต่ดูทีวีอย่างเดียว เพื่อนๆชวนเค้าไปทัศนศึกษาที่ภูเขาวันเสาร์ที่จะถึงแต่เค้าก็ไม่ไป

จนวันหนึ่งทีวีเสีย เค้าไม่รู้จะทำอย่างไร จึงไปหาเพื่อนที่ภูเขา ร่วมแคมป์กับเพื่อนๆ เพื่อนๆดีใจมากที่เค้ากลับมาเป็นคนเดิม เค้ารู้สึกดีที่ได้กลับมาหาเพื่อนเหมือนกัน เพราะเค้าก็รู้สึกคิดถึงเพื่อนเช่นกัน