วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

27.Ziggy Visits Granny (ความปลอดภัยในการใช้ถนน)

By Lynda Kennedy & Lynn Taylor

หนังสือชุดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสอนเรื่องความปลอดภัยในการใช้ถนน เพราะว่าผู้เขียนได้ให้ Ziggy ซึ่งเป็นมนุษย์ต่างดาวตัวเล็กๆเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของเด็กสองคนชื่อว่า Maggie อายุ 3 ขวบ และ   Andrew อายุ 5 ขวบ เพื่อให้เด็กสองคนได้สอนเรื่องการข้ามถนนและอื่นๆแก่ Ziggy เป็นการผูกเรื่องที่ทำให้การสอนเรื่องความปลอดภัยดูง่ายขึ้น และไม่น่าเบื่อ

สุดสัปดาห์นี้ พวกเค้าจะไปพักที่บ้านคุณยายที่ต่างจังหวัด พอเปิดประตูรถเท่านั้น Ziggy ก็กระโดดขึ้นไปนั่งที่ Car Seat ของ Maggie ทันที แม่สอนทันทีเลยว่า 
Ziggy didn't know that everyone has their own car seat. 
It's really, really important that everyone sits in their own car seat, 
because that's the seat that fits them.

แล้วคุณยายก็พาเด็กๆไปเดินเล่นค่ะ ทุกคนพากันมองหาทางเท้า คุณยายอธิบายว่าที่่ต่างจังหวัด ไม่ค่อยมีทางเท้าให้เดิน ดังนั้นเราควรจะจับมือกันไว้เวลาเดินบนถนน นอกจากนั้นยังสอนเรื่องการข้ามถนนตรงทางม้าลาย และอีกมากมาย

หลังจากนั้นก็ข้ามถนนค่ะ มีกฎอย่างไรนะคะ

เห็นไหมคะว่าเด็กๆสามารถเรียนรู้ที่จะเดินบนถนน ข้ามถนน และปฏิบัติตามกฎจราจรได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย    
ถือเป็นหนังสือที่มีประโยชน์จริงๆค่ะ





วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

26.Two Can Toucan (เจ้านกหลากสี)

By David McKee
เรื่องนี้ชอบส่วนตัวค่ะ รู้สึกว่าสนุกดี มีจินตนาการ ถ้าเราเป็นเด็ก เราคงอาจเกิดคำถามว่าจริงหรือเปล่าค่ะ เป็นเรื่องราวของเจ้านกทูแคนสีสวย ว่าได้สีสวยๆมาจากไหน

กาลครั้งหนึ่งยังมีนกที่ยังไม่มีชื่อ ตัวมันสีดำสนิท ยกเว้นที่ตาเท่านั้นที่ยังมีสีขาว สัตว์ทุกตัวในป่าที่มีชื่อแล้ว ต่างหัวเราะเยาะเจ้านกตัวนี้ ทำให้มันเศร้ามากค่ะ
 อย่าลืมคุยและถามลูกนะคะ ว่าหัวเราะเยาะเพื่อนแบบนี้ดีหรือเปล่า

มันจึงออกจากป่า และ เข้าไปในเมือง หางานทำ และได้งานที่เหมาะสมกับมันก็คือ การใช้จงอยปากที่ใหญ่และแข็งแรงให้เป็นประโยชน์ ในการถือกระป๋องสี  รู้จักข้อดีของตัวเองซะด้วย 
(อ่านแล้วได้มองกลับหาตัวเราเอง ว่าเราได้ทำงานที่เหมาะสมกับตัวเราหรือยังนะ)

ซึ่งปกติมันสามารถใช้จงอยปากของมันคาบได้ทีละ 2 กระป๋อง คนจึงตั้งชื่อมันว่า Two Can  แต่วันหนึ่งมันเกิดอยากถือ 3 กระป๋อง จะเกิดอะไรขึ้นล่ะคะ สีส้ม,แดง และ ขาว ก็หกรดตัวมันหมดเลยค่ะ กลับบ้านไปก็ขัดไม่ออก มันรู้สึกท้อแท้และล้มเหลวกับการทำงาน ก็เลยกลับป่า

เจอเพื่อนเก่า กลับจำมันไม่ได้ จึงบอกชื่อตัวเองว่า Two Can แต่เพื่อนถามกลับว่าสะกดว่า Toucan ใช่ไหม เจ้านกทูแคนก็เลยตอบว่า ก็....ใช่.... หลังจากนั้นก็เลยบอกความจริงกับเพื่อนๆไป ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมันบ้าง เพื่อนๆหัวเราะกับสิ่งที่เจ้าทูแคนเจอะเจอ และคราวนี้เจ้าทูแคนไม่เศร้าที่โดนเพื่อนหัวเราะแล้วค่ะ กลับหัวเราะกับเรื่องราวของตัวเองไปด้วย

25.The Teddy Bears' Picnic (หนังสือเพลง)

Pictures by Prue Theobalds
Words by Jimmy Kennedy

The Teddy Bears' Picnic เป็นเพลงสำหรับเด็กๆ ที่แต่งขึ้นมาตั้งแต่ปี คศ.1932 โดย Jimmy Kennedy ซึ่งทำนองที่ต่อเนื่องทำให้น่าฟัง  สามารถฟังเพลง ได้ที่นี่ค่ะ


เมื่อนำมาทำเป็นหนังสือ แน่นอนว่าจะทำอย่างไรให้เจ้าหมีเท็ดดี้ดูมีชีวิตชีวา ผู้วาดภาพสามารถวาดถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างน่ารักทีเดียว ใครที่เป็นสาวกของเจ้าหมีน้อยเท็ดดี้ทั้งหลายไม่ควรพลาดค่ะ การอ่านหนังสือก็ได้อรรถรสอีกแบบจริงๆค่ะ ตามมาเลยค่ะ

ภาพนี้เล็กชอบเอามาให้ลูกดูและเลือกกันว่าชอบตัวไหน

พวกหมีเท็ดดี้เริ่มเล่นเกมกันแล้วค่ะ

เกมอะไรนะคะ นั่งล้อมกันเป็นวงเชียว 

เล่นกันทั้งวัน แล้วก็เหนื่อยกันอย่างที่เห็น แล้วพ่อกับแม่ก็มาพากลับบ้าน

ตอนแรกๆที่เริ่มอ่านหนังสือให้ลูก จะไม่ค่อยชอบหนังสือเพลงค่ะ เพราะไม่รู้ว่าจะอ่านอย่างไร ก็เป็นเพลง ร้องก็ไม่ค่อยเป็นค่ะ แต่หลังๆมานี่กลับชอบหนังสือเพลง เพราะว่าส่วนมากหนังสือเพลงจะมีรูปที่สวยมาก และดูเหมือนมีความเคลื่อนไหว และเราสามารถคุยกับลูกได้หลายเรื่อง ไม่จำเป็นต้องจำกัดแต่การอ่านตัวหนังสือในเรื่องเท่านั้น คุณเห็นด้วยไหมคะ

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

24.Sarah And The Stone Man (เสริมจินตนาการ)

By Francoise & Frederic Joos
หนังสือแห่งจินตนาการของผู้เขียนคนนี้ ดูไม่ธรรมดา ได้หยิบยกเอาเรื่องรูปปั้นหินในสมัยโบราณมาใส่ความรู้สึกนึกคิดเข้าไป ประกอบกับดึงเอาเด็กผู้หญิงกับสุนัขเข้ามาร่วมเรื่องด้วย ทำให้เนื้อเรื่องดูมีเสน่ห์และน่าติดตามมากขึ้น

เรื่องเริ่มจากในปราสาทยุคโบราณ  มีรูปปั้นที่มีลักษณะนั่งก้มและยกเพดานของปราสาทไว้ทั้งหมด ซึ่งเค้านั่งอยู่แบบนี้เป็นร้อยปี จึงรู้สึกเบื่อ 

วันหนึ่งเค้าก็เจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกับหมาตัวหนึ่งมาเล่่นแถวๆนั้น เด็กผู้หญิงคนนั้นมาเล่นทุกวันจนเจ้ารูปปั้นรู้สึกชอบ และเหมือนมีเพื่อน จนอดหัวเราะและปรบมือตามไม่ได้ นั่นไม่ได้ทำให้เด็กหญิงกลัว แต่กลับทำให้ทั้งสองเป็นเพื่อนกัน พากันผจญภัยไปที่ต่างๆด้วยกัน

ทั้งสองออกไปเที่ยวทะเล เจ้ารูปปั้นดีใจมาก เพราะว่าร้อยวันพันปีไม่เคยได้ออกจากปราสาท เค้ารีบกระโดดลงน้ำทันที  หลังจากที่ไปเที่ยวกันในวันนั้น  ทั้งสองคนก็เจอกันที่ปราสาททุกวันและเล่นด้วยกันเรื่อยมา



วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

23.Runaway Bunny (ความรักอบอุ่นแม่ลูก)

By Margaret Wise Brown
Picture by Clement Hurd

นิทานเล่มนี้ติดอันดับหนังสือดัง 100 เล่มที่เด็กควรได้อ่าน 
เขียนมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1942 รวมอายุหนังสือ 71 ปีเข้าไปแล้วนะคะ แต่ก็ยังครองใจเด็กๆได้เป็นอย่างดี เป็นหนังสือสำหรับอ่านก่อนนอนของแม่ลูก ที่หลอกล้อกัน เนื้อหานุ่มนวล บ่งบอกถึงความรักที่แม่มีต่อลูก ไม่ว่าลูกจะบอกว่าจะหนีไปไหน แม่ก็จะตามไปทุกที่ค่ะ อ่านเล่มนี้แล้วทำให้นึกถึงอีกเรื่องค่ะ Goodnight Moon ของผู้เขียนคนเดียวกันนี้ค่ะ และก็เป็นหนังสือดังอีกเล่มเช่นกันค่ะ แบบนี้การันตีนักเขียนได้แล้วใช่ไหมคะ นอกจากนี้การทำหนังสือขาวดำ สลับกับสี เป็นเรื่องเสี่่ยงมาก แต่เค้าก็ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่มีปัญหานี้ค่ะ มาดูกันค่ะ.

เจ้ากระต่ายน้อยอยากจะหนีไปอยู่ที่อื่นคงคิดว่าที่อื่นต้องดีกว่าอยู่กับแม่น่ะค่ะ เจ้าแม่กระต่ายก็ใจเย็นคงรู้นิสัยของลูกตัวเองดี ก็เลยตอบว่า ถ้าหนูหนีไป แม่ก็จะตามไปค่ะ

หลังจากนั้นก็ต่อคำพูดไปเรื่อยๆค่ะ
If you run after me, said the little bunny,
I will become a fish in the trout stream
and I will swim away from you.

If you become a fish in a trout stream, said his mother
I will become a fisherman and I will fish for you.

เรื่องราวก็พูดคุยของสองแม่ลูกระต่ายดำเนินมาเรื่อยๆค่ะ เราอ่านไปจะได้เก็บพวกประโยค If clause ตลอดเลยค่ะ นี่แหละประโยชน์ของการอ่านหนังสือ ได้รู้พวกแกรมม่าด้วยค่ะ

จนสุดท้ายกระต่ายน้อยก็ตกหลุมพรางบอกว่าจะกลับมาเป็นกระต่ายน้อยแล้ววิ่งกลับบ้านดีกว่า เพราะว่าแม่ตามไปทุกที่เลย แม่ก็เลยบอกว่า งั้นแม่ก็จะกลับเป็นแม่กระต่ายแล้วกอดลูกไว้ในอ้อมแขน อบอุ่นน่าดู

ได้สัมผัสถึงความละมุนละไมของผู้แต่งที่ถ่ายทอดความรักของแม่กระต่ายผ่านความดื้อของลูกกระต่ายไหมคะ หวังว่าอ่านจบ คงได้อมยิ้มกันถ้วนหน้านะคะ

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

22.The Fisherman and His Wife (ความโลภไม่สิ้นสุด)

By Mark Southgate

เรื่องนี้ตอนแรกหยิบมาอ่านเองค่ะ เห็นภาพแปลกดี แล้วก็เอามาเล่าให้เนยฟังง่ายๆในภาษาของเราเอง ปรากฎว่าเนยเคยรู้จักเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ถามว่าไปรู้จากไหน เนยบอกว่าในไอแพดที่พ่อโหลดนิทานมาให้ดู....... อืม..... เราช้ากว่าลูกไปหนึ่งก้าวซะแล้ว
แต่เมื่อเริ่มอ่านแล้ว ลูกกลับสนใจมากกว่าตอนนั่งฟังไอแพด อาจเป็นเพราะสไตล์การวาดรูปที่ฉีกแนวออกไป ดูง่ายๆ แต่เหมือนจริง ลูกดูตื่นเต้นกับตอนจบว่าจะเหมือนกับเรื่องในไอแพดหรือเปล่า

เป็นผลงานเขียนของพี่น้องตระกูลกริมม์ ในประเทศเยอรมัน ซึ่งมีผลงานมากมายเป็นนิทานพื้นบ้านและเทพนิยายที่เด็กๆอ่านกันบ่อยๆ คือ สโนไวท์,ราพันเซล,ซินเดอเรลล่า

วันหนึ่ง ชาวประมง ซึ่งอาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเก่าๆกับภรรยา ออกไปตกปลา เค้าตกได้ปลาตัวใหญ่ที่สุดที่เค้าเคยตกได้ แต่ปลาตัวนี้ไม่ไช่ปลาธรรมดา มันเป็นปลาเจ้าชาย พูดได้ด้วย บอกว่าถ้าปล่อยมันไปจะให้อะไรก็ได้ที่อยากได้ ชาวประมงก็บอกว่าอยากได้เหรียญทอง แล้วเค้าก็ได้ค่ะ

กลับบ้านไปภรรยาดีใจมากค่ะ แต่แล้วก็หยุดคิด แล้วบอกให้ชาวประมงไปขอเหรียญทองมามากกว่านี้ ชาวประมงก็ไปหาเจ้าปลาตัวเดิมค่ะ แล้วก็ได้เหรียญทองมา 1 ถุง กลับไปภรรยาก็ยังไม่พอใจค่ะ ให้ชาวประมงไปของบ้านหลังใหม่ แล้วก็พอใจอยู่ไม่นาน ก็อยากได้ปราสาทแทนบ้าน แล้วก็ยังต้องการคนรับใช้อีกด้วย
O man of the sea!
Come listen to me!
My wife Ilsebill
Will have her own will.

 หลังจากนั้นลองเดากันดูซิคะว่าอยากได้อะไรอีก ปราสาทหลังใหญ่ขนาดนั้น จะให้คนธรรมดาอย่างเราๆอยู่ได้อย่างไร ใช่แล้วค่ะ ภรรยาอยากเป็นราชินีค่ะ ตอนนี้เจ้าปลาเริ่มโกรธนิดๆแล้วกับความไม่พอของภรรยาชาวประมง เริ่มพูดว่า Do not disturb me again! โดนเตือนแล้วนะคะ

ยังค่ะยังไม่สิ้นสุด ครั้งสุดท้ายภรรยาชาวประมง ได้ขออะไรบางอย่างที่ทำให้เจ้าปลาโกรธมาก เลยพูดว่า
Your wife is greedy! roared the fish. If she's not content with what she's got then she'll have nothing! 
แล้วก็สั่งให้น้ำทะเลขึ้นมาพัดพาเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากชาวประมง  เดากันถูกไหมเอ่ยว่าราชินีขออะไรจากเจ้าปลาตัวนี้

เรื่องนี้แสดงให้เด็กๆเห็นถึงเรื่องความรู้สึก "พอ" หรือ "ไม่เคยพอ" ของคนเรา อ่านไปแล้วก็ทำให้นึกถึงหนังสือนิทานของไทยเรา เรื่อง "คำสอนของพ่อหลวง" ซึ่งสอนหลายๆเรื่องรวมทั้งเรื่องความรู้จักพอด้วยค่ะ

วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

21.I don't want to go to bed!

By Julie Sykes
Tim Warnes

หยิบเรื่องนี้มาอ่านแล้วทำให้นึกถึงตอนลูกเด็กๆ ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนค่ะ เค้าจะเป็นเหมือนเจ้าเสือน้อยในเรื่องจริงๆ ไม่ยอมนอนเลยค่ะ แต่ละคืนกว่าจะนอนก็ 4 ทุ่มกว่าๆ ให้อ่านนิทานให้ฟังไม่ยอมเลิก อาจจะเป็นเพราะว่าเค้าไม่ได้ออกไปไหน อยู่แต่ในบ้านแล้วไม่ค่อยได้ใช้พลังเท่าไร ไม่เหนื่อยเท่าไร จึงยังพอมีแรงเหลือเยอะ เลยไม่อยากนอน บางทีปากพูดว่าไม่นอน ไม่นอน หันมาอีกที หลับไปแล้วค่ะ

เสือน้อยจอมซนไม่อยากเข้านอน ต่อต้านทุกอย่างจนแม่เสือเริ่มโมโห บอกว่าถ้าไม่อยากนอนก็ไม่ต้องนอน เสือน้อยดีใจค่ะ จึงออกเที่ยวไปในป่า (ดูจากรูปนี้แล้วสื่อมากค่ะว่าไม่อยากนอนจริงๆ)

เสือน้อยไปหาเพื่อนสิงโต เพื่อนก็กำลังเตรียมเข้านอน ไปหาฮิปโป ก็กำลังอาบน้ำเตรียมเข้านอน หลังจากนั้นก็ไปหา ช้าง ลิง ต่างก็เตรียมจะนอนกันหมด

 จนไปเจอ "นางอาย" ซึ่งเป็นสัตว์หากินกลางคืน ก็เลยได้เข้าใจว่าทำไมเค้าถึงไม่นอน และนางอายก็ช่วยพากลับบ้าน

เมื่อกลับถึงบ้านก็ยังพูดอีกว่า
I don't want to go to ......said Little Tiger sleepily.
I don't want to .......yawned Little Tiger and he fell fast asleep!
แล้วเจ้าลูกเสือก็หลับไปพร้อมกับเสียงบ่นว่ายังไม่อยากนอน 

บางทีเด็กๆคงต้องการการออกกำลังเยอะๆมังคะ เค้าถึงจะพร้อมที่จะเข้านอน





วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

20.Max and Ruby in Pandora's Box (สัญญา)

By Rosemary Wells

ได้อ่านเรื่องราวของสองพี่น้องกระต่ายคู่นี้แล้วทำให้นึกย้อนกลับมาดูตัวเองทุกทีค่ะ ผู้เขียนนำเรื่องราวนิสัยอยากรู้อยากเห็นที่เป็นกันทุกคนมาสอนเราอีกแล้วค่ะ โดยผูกเรื่องกับกล่องแพนโดรา ที่เป็นตำนานกรีกโบราณได้อย่างแนบเนียน

เรื่องราวของสองพี่น้องกระต่ายนี้โด่งดังจน นำมาสร้างเป็นการ์ตูนให้เราได้ชมกันหลากหลายตอน ผู้เขียนได้ฝากแนวคิดการสอนเรื่องต่างๆไว้มากมายกับสองพี่น้องกระต่ายคู่นี้ เรามาติดตามกันค่ะ

Ruby พี่สาวทำป้ายที่ประตูเขียนไว้ว่า No! This means YOU!  เพื่อไม่ให้ Max น้องชายเข้าไปในห้อง แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุนะคะ Max อยากรู้มากว่ามีอะไรในห้อง จึงแอบเข้าไปในห้อง แล้วก็เห็นกล่องเครื่องประดับ และแล้วก็ถูกพี่สาวจับได้พอดีว่าแอบเข้าห้องมาโดยไม่ได้รับอนุญาต

Ruby ก็เลยอยากจะสอน Max จึงอ่านนิทานเรื่องหนึ่งให้ฟังเรื่องกล่องแพนโดรา แม่ของแพนโดราจะ
ออกไปข้างนอก ได้สั่งแพนโดราไว้ว่าอย่าเปิดกล่องเครื่องประดับ แพนโดราก็สัญญา หลังจากแม่ออกจากบ้านไป แพนโดราติดใจเรื่องกล่องเครื่องประดับอย่างมาก คิดไปต่างๆนาๆว่าจะมีอะไรอยู่ในกล่อง

ในที่สุดก็ทนไปไหว เปิดกล่องออกมา ก็มีผึ้งฝูงใหญ่บินกันออกมา แพนโดราตกใจมาก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่โชคก็ช่วยค่ะ เจ้าแมงมุมเขียวส่งเสียงออกมาจากกล่องว่าจะช่วย แล้วก็ดักกินแมลงจนหมด

สุดท้ายแม่ก็กลับมาบ้านชมว่า Max เป็นเด็กดี จะพาออกไปดูหนัง แล้วก็เปิดกล่องเครื่องประดับ เอาสร้อยคอรูปแมลงให้ Max ใส่ และตัวแม่เองก็ใส่เข็มกลับรูปแมงมุมซะด้วย เล็กคิดว่าตอนที่แม่เปิดกล่อง Max คงลุ้นมากๆว่าจะมีตัวอะไรออกมาอีก แต่พอเห็นสร้อยคอรูปแมลงคงแขยงน่าดูนะคะ


              พออ่านเรื่องนี้จบ เล็กเริ่มสงสัยเรื่องกล่องแพนโดราค่ะ ก็เลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติม
ได้รู้อะไรอีกเยอะเลยค่ะกับประวัติเรื่องเล่าของกรีกโบราณ ลองดูนะคะ





วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

19.The Birthday Surprise (ความรักแม่ลูก)

By Julie Sykes
Illustrated by Czes Pachela
เคยมีไหมคะว่าเราอยากให้ของขวัญเกิดกับแม่ แต่ว่าเผอิญของขวัญนั้นมันหายไป หรือ ว่าเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วเราจะรู้สึกอย่างไร จะเหมือนกับเจ้าลิงในเรื่องนี้หรือเปล่า มาผจญภัยกับลิงน้อยกันค่ะ


เจ้าลิงน้อยเตรียมของขวัญวันเกิดให้แม่เป็นมะม่วงผลสุกผลหนึ่ง มันซ่อนไว้ใต้พุ่มไม้เป็นอย่างดี

ระหว่างรอแม่กลับบ้านก็เล่นกับเพื่อนช้างค่ะ โหนไปโหนมา เล่นสไลเดอร์ไปมา ก็ตกลงมานั่งทับมะม่วงลูกนั้นพอดี ทั้งสองตัวก็เลยต้องไปหามะม่วงมาใหม่ให้ทันกับที่แม่จะกลับมาบ้าน 

ระว่างทางก็เจอกับเพื่อนเสือค่ะ ชวนมาเล่นน้ำด้วยค่ะ แต่เจ้าลิงปฏิเสธค่ะ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีนะคะ เพราะว่ามีความตั้งใจจริงที่จะหาของขวัญให้แม่ แม้ว่าจะมีอุปสรรคเล็กๆน้อยๆมาดึงความสนใจ แล้วเจ้าลิงน้อยก็เจอต้นมะม่วงค่ะ ขึ้นไปเก็บมาลูกหนึ่ง แต่แล้วก็มีเจ้าลิงเกเร รีบวิ่งมาห้าม บอกว่านั่นเป็นต้นมะม่วงของเค้า เจ้าลิงน้อยรีบหนีกลับมาบ้านค่ะ  

 แม่กลับมาบ้านพอดี เจ้าลิงน้อยก็เลยให้มะม่วงแม่เป็นของขวัญวันเกิดสำเร็จค่ะ

เล็กอ่านหนังสือเรื่องนี้จบ ได้ข้อคิดอะไรหลายอย่างนะคะ 
1.ความซุกซนทำให้เกิดเรื่องได้เสมอ
2.เมื่อเกิดเรื่องขึ้น หรือ มีปัญหา ก็มีทางแก้เสมอ
3.ระหว่างทางที่แก้ปัญหามักมีอุปสรรคมาขวางกั้น แต่เราก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคให้ได้
4.ในสังคมก็จะพบเจอคนดี และ คนไม่ดี
5.เพื่อนแท้ (ช้างและลิง) จะคอยช่วยเหลือกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข

ท่านผู้อ่านได้ข้อคิดอะไรเพิ่มเติมจากนี้บ้างไหมคะ ลองมาแชร์กันค่ะ

วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

18.Guess how much I love you (อบอุ่น)

By Sam McBratney
Illustrated by Anita Jeram

จะไม่พูดถึงเรื่องนี้เป็นไม่ได้เชียวค่ะ หนังสือดีคุณภาพคับแก้ว แสดงถึงความรักของพ่อกระต่ายและลูกกระต่ายที่ต่างก็สรรหาคำมาพูดถึงความรักระหว่างกัน ว่ารักแต่ละฝ่ายมากแค่ไหน

เล็กเริ่มรู้จักหนังสือเล่มนี้เพราะว่า ไปถามคำถามภาษาอังกฤษในห้องภาษาอังกฤษที่เวปสองภาษา (www.2pasa.com) เมื่อ 2 ปีก่อน และมี "คุณรี" ซึ่งอาศัยอยู่ที่ประเทศอเมริกา เป็นผู้มาตอบกระทู้ให้เล็ก ซึ่งคุณรีถือเป็นครูที่ให้ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษที่เค้าใช้กันจริงๆ และผู้แนะนำหนังสือเล่มนี้ เล็กได้ประโยคเด็ดๆ มาพูดกับลูกอยู่เสมอ ซึ่งเมื่อพูดประโยคนี้ขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องแปล มันเห็นภาพถึงความไกล ถึงความรักของพ่อที่มีต่อลูกที่มากจนไปถึงดวงจันทร์และก็กลับมาอีกครั้ง อยากรู้แล้วใช่ไหมคะ ตามมาเลยค่ะ

เจ้ากระต่ายน้อยคุยกับพ่อเมื่อถึงเวลานอนว่า ทายซิว่า หนูรักพ่อ แค่ไหน พ่อกระต่ายบอกว่าเดาไม่ถูก  

ลูกกระต่ายก็เลยบอกว่ารักมากเท่ากับกางแขนออกขนาดนี้ พ่อกระต่ายก็กางแขนออกบ้าง

ลูกกระต่ายไม่ยอมแพ้บอกว่า
I love you as high as I can reach, said Little Nutbrown Hare.
พ่อกระต่ายก็ยกมือขึ้นสูงบอกว่ารักมากเท่ากับยกมือขึ้นแบบนี้ 
ลูกกระต่ายคิดในใจว่าอยากจะมีแขนยาวๆแบบนี้บ้าง

  ต่างผลัดกันบอกรักด้วยวิธีแปลกๆ จนลูกกระต่ายง่วงนอนแล้วค่ะ แล้วพูดประโยคนี้ออกมา
I love you right up to the moon,he said and closed his eyes.

พ่อกระต่ายวางลูกลงแล้วก้มลงกระซิบว่า
I love you right up to the moon--- and back. 


ไม่มีใครยอมใครเลยค่ะ เรื่องความรัก ของพ่อลูกกระต่ายคู่นี้
 อ่านจบอย่าลืมบอกรักลูกแบบนี้นะคะ รับรองว่าจะได้สรรหาคำมาบรรยายไม่หยุดแน่ๆค่ะ


วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

17.Presents from Grans (ความรู้สึกดีๆกับคุณย่า)

By Jan Mark and Graham Percy


หนังสือเรื่องนี้แสดงความผูกพันระหว่างคุณยายกับคุณหลานได้ดีมาก เหมือนอยู่ในเหตุการณ์หน้าหนาวที่อุ่นไปด้วยสเว็ตเตอร์แห่งความรัก คงจะดีไม่น้อย ถ้ามีคนถักสเว็ตเตอร์ให้ใส่เวลาอากาศหนาวๆ แต่ Mick จะชอบสเว็ตเตอร์ที่คุณยายถักให้หรือไม่

บางครั้งในสายตาผู้ใหญ่ เรามักจะคาดการณ์ หรือ ใช้ ประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา มาเป็นข้อสรุปให้กับเด็กๆเอง โดยที่มักไม่ได้ถามความคิดเห็นของเค้าก่อน เด็กๆอาจจะมีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป แต่ไม่มีโอกาสไ้ด้บอก มาติดตามกันว่าในที่สุดแล้ว Mick มีความคิดของตัวเองอย่างไร มาติดตามกันค่ะ

วันหนึ่งคุณยายจะมาอยู่ที่บ้านของ Mick และคุณยายก็มีของขวัญมาให้ด้วย 
Mick knew what the presents would be : knitting.

คุณยายเริ่มให้ของขวัญทุกคน คุณพ่อได้ผ้าพันคอ, คุณแม่ได้ผู้คลุมไหล่,น้องสาวได้สเว็ตเตอร์สีเหลืองที่มีลายหมี น้องสุดท้องได้ผ้าห่ม ส่วน Mick ได้สเว็ตเตอร์สีน้ำตาล คุณยายบอกว่า สีน้ำตาลนี่เป็นสีของเด็กผู้ชายจริงๆ แต่เค้าเริ่มคิดในใจว่าเค้าอยากได้ลายหมีบ้าง

หลังจากคุณยายมาที่บ้านของ Mick  เมื่อคุณยายไปที่ไหนก็มันจะถักนิตติ้งตลอดเวลา คุณยายเริ่มถัก
นิตติ้งมากขึ้นเท่าที่เวลาจะมี แล้วก็ได้สเว็ตเตอร์ตัวใหม่ สีฟ้า

Boys like plain things, said Gran.
I like birds, said Mick.

เห็นความในใจของ Mick เด็กผู้ชายคนนี้บ้างหรือยังคะ คุณยายพยายามจะใส่ความคิดที่ว่าผู้ชายต้องชอบสีพื้นๆ ทึมๆ ไม่มีลวดลาย แต่เด็กอย่าง Mick ชอบอีกอย่างหนึ่ง
เวลาผ่านไปหลายเดือน Mick ย้ายไปอยู่กับคุณยายชั่วคราวค่ะ ตอนแรกเด็กชายก็คิดว่าสงสัยต้องนั่งดูคุณยายถักนิตติ้งทั้งวันแน่ๆเลย แต่ผิดคาดค่ะ คุณชายพา Mick ทำกิจกรรมข้างนอกตลอด 

ทั้งทาสีรั้ว

ไปนั่งริมแม่น้ำ, เล่นว่าวที่สวนสาธารณะ

ไปเที่ยวสวนสัตว์

สุดท้ายดูซิคะว่า Mick ได้สเว็ตเตอร์ที่บ่งบอกถึง วันหยุดแสนสุขของเค้าอย่างไร แล้วคุณยายจะยอมถักสเว็ตเตอร์สีสันสดใสและลวดลายตามที่ Mick อยากได้หรือเปล่า