วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

60.The Boy Who Lost his Bellybutton

By Jeanne Willis / Tony Ross

เห็นนิทานภาษาอังกฤษเล่มนี้ครั้งแรก อ่านชื่อเรื่องก็ยังงงๆอยู่ว่า สะดือ จะหายไปไหน แต่เมื่อเห็นชื่อ Tony Ross ก็รีบเปิดอ่านทันที แล้วก็ไม่ผิดหวังค่ะ นอกจากสร้างจินตนาการได้แล้ว เด็กๆยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์หลากหลายชนิด

วันหนึ่งเด็กชายตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า สะดือ หายไป ก็เลยเข้าป่าไปตามหาสะดือ (ตลกดีค่ะ) พบยีราฟก็ขอตรวจดูสะดือ แต่ก็ไม่ใช่ของเด็กชาย แล้วก็ไปพบกอริลล่า ก็เลยถามไปว่า
Have you found a bellybutton anywhere?
Yes, said the gorilla. "Right here"
And it stuck out its tummy.Very nice, said the boy, but it's not mine.
My mother gave it to me, said the goriila.
เล็กชอบตรงประโยคสุดท้ายจังค่ะ ที่บอกว่า "แม่ให้มา"

แล้วเด็กชายก็ไปหาสิงโต ถามว่ายืมสะดือของตนมาหรือเปล่า สิงโตตอบหวาดเสียวบอกว่าทำไมต้องยืม เพราะสิงโตเองก็มีของตัวเอง แล้วก็ถามเสียงดังทั่วป่าว่า สัตว์ตัวไหนมีสะดือ ให้ยกมือขึ้น หลังจากนั้น ทั้งช้าง,หนู,หมูป่า,ม้าลาย,ฮิปโป,และจระเข้ ต่างก็โชว์สะดือของตัวเอง

เมื่อเด็กชายเจอจระเข้ ก็พบว่าสะดือนั้นเป็นของตนเอง ก็เลยลงไปเก็บสะดือของตัวเองขึ้นมา ทิ้งปมไว้ให้สงสัยอีกนะคะ ว่าทำไมสะดือไปอยู่กับจระเข้ ในที่สุดเด็กชายก็มีสะดือเป็นของตัวเองค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

59.Monty goes south (เอาชนะความกลัว)

By Marc Tetro

 นิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้กล่าวถึงการเอาชนะความกลัวได้ดี ตอนแรกที่เปิดดูนั้นติดใจเรื่องรูปภาพที่ดูสวย ตรงๆ ไม่รก สื่อได้ดี แต่ว่าตัวหนังสืออาจจะอ่านยากนิดหนึ่ง เนื่องจากเราไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไรนัก นอกจากนั้นเล็กยังได้ตัวอย่างประโยคที่สามารถนำไปใช้กับลูกได้มากมายค่ะ

Monty เป็นห่านที่กลัวความสูง ทำให้ไม่สามารถบินได้ แต่ว่าหน้าหนาวกำลังจะมา ห่านเพื่อนๆกำลังเตรียมจะบินไปทางใต้ เพื่อหนีหนาวกันแล้ว  Monty ก็เลยคิดหาทางออก คิดว่าจะขับรถไป แต่ก็ไม่มีใบขับขี่ จะไปโดยสเก็ตบอร์ด แต่ว่ามันก็ไกล คงไปไม่ไหว หรือจะไปทางเรือ ก็ไม่รู้จะหาเรือได้ที่ไหน

Monty จึงไปปรึกษาจิตแพทย์ เพื่อจะรักษาอาการกลัวความสูง โดยคุณหมอได้ให้ Monty ปีนขึ้นไปบนบันได เพียงแค่ 4 ขั้น Monty ก็เป็นลมไปซะแล้ว 

Monty หลบไปว่ายน้ำ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เค้าชอบมากที่สุด เค้านอนหงายบนห่วงยาง ลอยไปตามน้ำ เมื่อมาถึงน้ำตก Monty เกือบจะตกแล้ว แต่เค้าก็บินขึ้นโดยอัตโนมัติค่ะ เค้าบินได้เองจริงๆแล้วค่ะ แต่เป็นหงายขึ้น ซึ่งก็ทำให้เค้ามีความกล้าและบินไปใต้กับเพื่อนๆได้ แม้ว่าจะบินไม่เหมือนคนอื่นก็ตาม

หลังจากอ่านเรื่องนี้แล้ว สามารถคุยกับลูกได้อีกเยอะเลยค่ะ การเอาชนะความกลัว, ความมั่นใจ, การลองทำสิ่งใหม่ๆ, การเดินบนเส้นทางใหม่ๆที่ไม่เหมือนคนอื่นแต่ถึงจุดมุ่งหมายเหมือนกัน

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

58.การให้หนังสือเป็นของขวัญ

 "การให้หนังสือเป็นของขวัญ ถือเป็นการให้ที่ดีอย่างหนึ่ง"

คุณเห็นด้วยกับประโยคดังกล่าวหรือเปล่าคะ
วันนี้เล็กอยากเขียนบล็อกเกี่ยวกับการให้หนังสือเป็นของขวัญกับคนพิเศษดูบ้างนะคะ 




จากที่คลุกคลีกับหนังสือมานานพอสมควร
เวลาเปิดหนังสือแต่ละเล่ม เล็กดูตั้งแต่
ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง ผู้วาดรูป 
หน้ารองปก เนื้อหา คำโปรยด้านหลังปก
เรียกได้ว่าอ่านจนคุ้มค่ะ 








แต่ละครั้งเล็กจะเห็นว่าฝรั่งเจ้าของหนังสือคนแรก
จะให้หนังสือเป็นของขวัญผู้อื่นในเทศกาลดังนี้
1.ครบรอบวันเกิด
2.วันคลอดลูก
3.ปีใหม่
4.อีสเตอร์
5.ฮาโลวีน
6.คริสต์มาส





และผู้ที่ให้หนังสือก็ได้แก่
1.คุณปู่ คุณย่า ให้หลาน
2.คุณพ่อ คุณแม่ ให้ลูก
3.คุณอา,คุณน้า ให้ หลาน
4.เพื่อน ให้ เพื่อน ในโอกาสต่างๆ







ฝรั่งเค้านิยมให้หนังสือเป็นของขวัญ
ในเทศกาลต่างๆเป็นนิสัยอยู่แล้ว
โดยที่แต่ละครั้งจะมีการเขียนข้อความไว้ที่
ด้านบนของปกรองหนังสือ









ทุกครั้งที่เปิดหนังสือเล็กชอบอ่านตรงนี้ให้ลูกฟัง
ว่าฝรั่งชื่ออะไรส่งจากใครให้ใคร ปีอะไร
แล้วมานั่งนับปีกับลูกดูว่า หนังสือมีอายุกี่ปี
หรือบางครั้งถ้าไม่มีการเขียนข้อความก็จะดูปีที่พิมพ์
แล้วคำนวณความเก่า ความขลัง ของหนังสือแต่ละเล่ม
(ซึ่งหนังสือใหม่ไม่สามารถให้ความรู้สึกนี้ได้)
โดยหนังสือบางเล่มก็เก่ามาก เกือบ 30 ปี
มีคำถามว่า ทำไม "ใหม่มาก"




จะเห็นว่าบางครั้งหนังสือมือสอง
มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง
ขึ้นอยู่กับที่เราจะค้นหามันเจอหรือไม่










ช่วงเทศกาลคริสต์มาสหรือปีใหม่นี้ มาสร้างนิสัยให้ของขวัญกับเพื่อนหรือเด็กๆด้วยหนังสือกันนะคะ
www.facebook.com/farmfunbook
www.kidbooksblog.blogspot.com
leknoey@gmail.com

57.There's a Party at Mona's Tonight

By Harry Allard
Illustrated by James Marshall

นิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้สอนอะไรเรามากมาย เรื่องเกี่ยวกับคำพูดนินทา และ การโกหก คนที่ชอบนินทาผู้อื่น ก็จะไม่ค่อยมีใครคบด้วยเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เหมือนนิทานเรื่องนี้เลยค่ะ

มีเสียงตะโกนมาบอกเจ้าหมู Potter ว่ามีงานปาร์ตี้ที่บ้านของ Mona เจ้าหมู Potter สงสัยและแปลกใจมากว่าทำไมไม่ได้รับเชิญไปงานปาร์ตี้คราวนี้ จึงรีบขี่จักรยานไปบ้านของ Mona

เมื่อไปถึงบ้าน ก็เคาะประตู Mona มาที่หน้าประตูแล้วก็ไล่เจ้าหมู Potter ออกไป เจ้าหมูแปลกใจมาก คิดว่า Mona ต้องเข้าใจอะไรเค้าผิดไปแน่ๆ จึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะเข้าไปในบ้านให้ได้ แต่ Mona ก็ไม่อนุญาต 

ในที่สุด Mona ก็บอกความจริงกับ Potter ว่าที่เค้าไม่ให้เข้ามาในงานปาร์ตี้เพราะว่าโกรธที่  Potter ไปบอกเืพื่อนคนอื่นว่า Mona เท้าใหญ่มาก เจ้าหมู Potter รีบบอกทันทีเลยว่าไม่เคยพูดแบบนั้นซักนิดเดียว Mona จึงเชื่อใจและเชิญเข้ามาร่วมงาน แต่ระหว่างในงานปาร์ตี้ Potter ก็กระซิบบอกเจ้ากบว่า Mona เท้าใหญ่มาก เมื่อโมนาได้ยินก็โกรธแล้วก็เชิญออกจากงานปาร์ตี้ไปโดยปริยาย

เล็กว่าเรื่องนี้น่าสนใจ จะเห็นว่า Mona อุตส่าห์เชื่อใจ Potter แล้วครั้งหนึ่ง จึงเชิญเข้าร่วมงานปาร์ตี้ แต่ Potter ก็ทำพฤติกรรมเดิมซ้ำอีกจนได้ จึงไม่มีการให้อภัยครั้งที่ 2 แล้วค่ะ

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

56.The Boy In The Drawer

Story By Robert Munsch
Art By Michael Martchenko

 เห็นนิทานภาษาอังกฤษเล่มนี้ตอนแรก ด้วยความรีบก็ได้แต่เปิดดูรูปภายใน ยังไม่ได้อ่านเนื้อหา กำลังคิดว่าจะเอาเล่มนี้มารีวิวดีหรือเปล่า พอได้ดูรูปแล้วก็น่าสนใจ เหมือนสามารถเดาเรื่องออกได้เลย เคยได้ยินมาว่า นิทานที่ดีนั้นเมื่อดูแค่รูป เด็กจะสามารถเข้าใจเนื้อเรื่องได้ทันที แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เด็กผู้ชายตัวเล็กๆมาจากไหนไม่รู้ สร้างแต่เรื่องยุ่งๆ แต่สร้างจินตนาการต่อยอดได้ดี เอามาคิดต่อได้มากมาย และได้ยิ้มตอนสุดท้ายของเรื่องด้วย

Shelly ขึ้นไปที่ห้องนอนของเธอ เห็นถุงเท้ากระจัดกระจายเต็มห้องนอน เธออุทานว่า 
"What a mess" 

แล้วเธอก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งดังออกจากลิ้นชักเก็บถุงเท้าของเธอว่า
"BE QUIET"
เด็กผู้ชายตัวเล็กๆกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในลิ้นชัก เธอตกใจรีบวิ่งลงมาบอกแม่ แต่แม่ของเธอไม่ได้ตกใจอะไรเท่าไร บอกให้เธอบอกเด็กชาย กลับบ้านไป แล้วให้เธอทำความสะอาดห้อง หลังจากที่เธอไปทำความสะอาด ก็ลงมาทานข้าว แล้วเมื่อเธอกลับขึ้นห้องอีกก็เจอเด็กผู้ชายคนนี้อีกกำลังรดน้ำต้นมะเขือเทศอยู่บนเตียงเธอ

 เมื่อเธอไปที่ห้องครัว ห้องครัวก็เต็มไปด้วยน้ำที่เกิดจากเด็กชายคนนี้กำลังอาบน้ำอยู่ในกล่องขนมปัง Shelley จึงเปิดน้ำเย็นใส่เด็กชายคนนี้เพื่อไล่ไป แต่น้ำเย็นกลับทำให้เด็กชายสูงขึ้น 50 ซม. แล้วก็โตขึ้นอีก 10 ซม. เมื่อทั้งครอบครัวไม่รู้จะทำอย่างไรดี Shelly เข้าไปลูบเด็กชาย เด็กชายก็ตัวเล็กลง พ่อเข้าไปกอด เด็กชายก็ตัวเล็กลง แม่เข้าไปจูบเด็กชาย ในที่สุดเด็กชายก็หายไป

หลังจากนั้นทุกคนเกิดคำถามว่าใครจะทำความสะอาดห้องครัว 
And the mother gave Shelley a hug.
And the father gave Shelley a hug.
And she cleaned up the whole mess with no  trouble at all. 

 เป็นอย่างไรบ้างคะ กับนิทานที่ทิ้งปมเรื่องให้เราขบคิดต่อ ใครได้อะไรบ้างจากการอ่านนิทานเรื่องนี้บ้างคะ อย่างน้อยๆ เล็กว่าจะนำเอาเทคนิค "การกอด" ไปใช้กับลูกดีกว่าค่ะ

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

55. Sea Horse (หน้าที่พ่อม้าน้ำ)

By Suzanne Tate 
Illustrated by James Melvin


ไม่ได้เห็นนิทานภาษาอังกฤษแนวความรู้ที่ไม่เครียดมานานแล้วค่ะ เล่มนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อ่านง่ายและสนุก แถมยังได้ความรู้มากมายโดยคาดไม่ถึงค่ะ สามารถอ่านให้ลูกฟังและพูดคุยกับลูกระหว่างที่อ่านได้ดีมากค่ะ เพราะว่าพฤติกรรมม้าน้ำนั้นน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว 
ม้าน้ำอยู่ในกลุ่มปลา แต่จะต่างจากปลาทั่วไปเพราะจะมีกระดูกหรือก้างมาห่อหุ้มตัวเหมือนมีเกราะป้องกันตัวอยู่ตลอดเวลา โดยตัวเมียจะเป็นฝ่ายผลิตไข่และฝากไว้ที่ถุงหน้าท้องของตัวผู้ เพื่อให้ตัวผู้อุ้มท้องแทนค่ะ 

เรื่องเริ่มต้นด้วย Stevie B.เกิดออกมาจากถุงหน้าท้องของพ่อม้าน้ำพร้อมๆกับพี่น้องอีก50 ชีวิต

เมื่อคลอดออกมา Stevie B. ก็มีคำถามทันทีว่า จะทำอะไรดี แล้วจะไปไหนดี แม่ไปไหน พ่อก็สอนวิธีม้วนหางกับสาหร่ายเพื่อให้อยู่กับที่ (ตอนนี้เราก็จะได้เรียนรู้ว่าม้าน้ำต้องม้วนหางเพื่อยึดเกาะกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง)

เมื่อ Stevie B. โตขึ้นพอสมควร ก็อยากจะไปหาที่อยู่ใหม่ พ่ออนุญาต แต่บอกให้ระวังตัวให้ดี และแล้ว Stevie B.ก็พบกับศัตรูอันดับหนึ่ง นั่นคือ ปู นั่นเอง เจ้าม้าน้ำน้อยก็เลยเปลี่ยนสีตัวเองให้เข้ากับสีของสาหร่ายเพื่อเป็นการพรางตัว หลบปู นั่นเอง แล้วเจ้าปูก็งง จากไปในที่สุด

Stevie B.พยายามเอาน้ำใส่ท้องตัวเอง ทำให้ดูท้องใหญ่ๆ เพื่อดึงดูดม้าน้ำตัวเมีย Stevie B.บอกกับพ่อว่า 
I want to be the best Papa anybody ever saw. 


วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

54.The Big Mitten (การแบ่งปัน)

Rewritten by Madge Tovey
Illustrated my Rodney Bills

เห็นนิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่อง The Mitten ที่เคยอ่าน เป็นนิทานพื้นบ้านของประเทศยูเครน แต่งโดย Jan Brett  เรื่องนี้นำมาเขียนใหม่อีกครั้งโดยใช้สัตว์ที่น่ารัก 4 ตัวเป็นตัวดำเนินเรื่อง ผู้เขียนผูกเรื่องให้ตลกเมื่อสัตว์ทุกตัวเบียดกันในถุงมือ เมื่อจามขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้น

Mitya อาศัยอยู่ทางเหนือซึ่งหนาวมาก เมื่อได้ถุงมือมาใหม่สีแดง-ขาว Mitya ก็ออกไปที่ป่าเพื่อเก็บฟืน ระหว่างทางก้มผู้เชือกรองเท้าบู้ท แล้วก็ลืมถุงมือไว้ 1 ข้าง

แล้วเจ้าหนูตัวหนึ่งก็วิ่งมาด้วยความหนาว เมื่อเห็นถุงมือนี้เข้าก็เลยเข้าไปอยู่อุ่นสบายตัวเดียว และแล้ว เจ้ากระต่ายก็ผ่านมา ได้ขอร้องหนูเข้าไปอยู่ด้วยตัว ต่อมาเ่ม่นน้อย หมาจิ้งจอก และหมี ก็เข้าไปอยู่ในถุงมือตามลำดับ

เมื่อเจ้าหมีกลิ้งตัว กงเล็บก็ไปข่วนหมาจิ้งจอก เมื่อหมาจิ้งจอกกลิ้งตัวกระทบต่อเจ้าเม่น เจ้าเม่นก็กระทบเจ้ากระต่าย เจ้ากระต่ายก็กระทบเจ้าหนู แล้วหนูก็กลิ้งตัว หางเจ้ากรรมเกิดไปจั๊กจี้จมูกของหมี จะเกิดอะไรขึ้นเอ่ย ahh...Ahh...Choo



53.The King's Cat (ไม่บังคับผู้อื่น)

By John Tarlton
นิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้ดูผ่านๆเหมือนไม่มีอะไรมาก เกี่ยวกับแมวของพระราชาที่ไม่ยอมลงมาจากต้นไม้ แต่เมื่ออ่านจนจบเล็กคิดว่าสามารถหาบทสรุปของนิทานเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เรื่องเกี่ยวกับการบังคับให้ใครซักคนหนึ่งทำ่ตามที่เราต้องการ เช่นเด็กๆเอง บางครั้งเราก็อยากให้ลูกทำอย่างนั้น อย่างนี้ตามที่เราต้องการ แต่เราลืมว่าเค้าเป็นเด็กมีนิสัยแบบเด็ก ก็ย่อมทำอะไรแบบเด็กๆ เมื่อถึงเวลาเค้าก็คงทำเองโดยที่เราไม่ต้องคอยจ้ำชี้จ้ำไช เหมือนอย่างเจ้าแมวตัวนี้

พระราชามีแมวอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ ทำอย่างไรก็ไม่ยอมลงมา

พระราชินีมาสั่ง แมวก็ไม่ลงมา เชฟในปราสาทเอาขนมพายมาล่อก็ไม่ยอมลงมา พ่อมดมาเสกเวทมนต์ ก็ไม่ยอมลงมา พระราชาปวดหัวมาก จึงปรึกษากับพวกที่ปรึกษา ได้ข้อสรุปว่าจะฟันต้นไม้ทิ้ง เพื่อให้แมวลงมา

แต่แล้วก็มีเด็กชายคนหนึ่งมาห้ามไว้ ว่าถึงฟันต้นไม้ให้ล้มลงมาแมวก็ไม่ลงมาอยู่ดี เด็กน้อยแนะนำว่าควรจะ "รอ" เท่านั้น พระราชาลองเชื่อดู

 ปรากฎว่าคืนนั้นแมวก็ลงมาจากต้นไม้ มานอนบนหัวพระราชาพอดี (ขำจริงๆ)

วันรุ่งขึ้นพระราชาก็แต่งตั้งเด็กชายเป็นอัศวิน จบแบบมีความสุขจัังค่ะ

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

52.You're just what I Need

By Ruth Krauss
Pictures by Julia Noonan

เห็นนิทานภาษาอังกฤษเล่มนี้แล้วอดหยิบขึ้นมาอ่านไม่ได้ รูปดูอบอุ่นดี เหลือบตาขึ้นมาดูชื่อเรื่องแล้วก็ยิ่งทำให้อยากรู้เข้าไปอีกว่า จะซาบซึ้งขนาดไหน

เช้าวันหนึ่งแม่เห็นเห็นอะไรเป็นกองๆอยู่ในผ้าห่ม ก็เลยพูดขำๆออกไปว่า
What is it?
What can it be?

แม่ก็เล่นเดาไปเรื่อยว่าใต้กองผ้าห่มจะเป็นอะไร  และแล้วแม่ก็เห็นอะไรยื่นออกมาจากกองผ้าห่ม แม่รีบเดาเลยว่าสงสัยเป็นม๊อบถูพื้นแน่ๆ        มีเสียงรีบตอบกลับมาทันทีว่าไม่ใช่

It's ME! 

You! the mother said. Well, so it is!
So you are, It's you. And___
you're just what I need 

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

51.If You Were My Bunny (อบอุ่น)

By Kate McMullan
Illustrated by David McPhail

จากที่เล็กได้อ่านนิทานภาษาอังกฤษมาพอสมควร เล็กได้เห็นเรื่องความรักระหว่างแม่กับลูกมากมาย เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่พูดถึงความรักของแม่และลูกโดยนำเอาลักษณะนิสัยของสัตว์แต่ละชนิดมาพูดถึง โดยใช้ประโยค If Clause และมีสัมผัสระหว่างประโยคทุกหน้า เล่มนี้เหมาะกับกล่อมลูกนอนมากค่ะ อ่านเสร็จรับรอง เจ้าตัวเล็กหลับฝันดีแน่ๆ เพราะ แต่ละรูปอบอุ่นเหลือเกินค่ะ

เรื่องความรักระหว่างแม่ลูกไม่สามารถบรรยายได้หมดจริงๆค่ะ ดูกันเองดีกว่าค่ะ แต่ละรูป แต่ละหน้า น่ารักบอกไม่ถูก

แม่แมวลูกแมว

If you were my baby
and I were your mama,
I'd pull the covers up to your chin
and give you a great big hug...
and a great big kiss..
and say, "I love you!"
And you'd fall fast asleep.
Sweet dreams!


วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

50.Hunter's Best Friend at School

By Laura Malone Elliott
Illustrations  by Lynn Munsinger

หยิบเอานิทานภาษาอังกฤษเล่มนี้ขึ้นมาแล้วก็ดูที่คนวาดรูป เพราะรู้สึกคุ้นเคย  Lynn Munsinger มีเอกลักษณ์การวาดภาพที่ทำให้เราจำได้ดีทีเดียว สำหรับนิทานที่เกี่ยวกับเพื่อนเรื่องนี้จะแตกต่างออกไป นิดหน่อยค่ะ เน้นที่ประเด็น ถ้าเพื่อนสนิทกลายเป็นคนไม่ดี เราต้องไม่ดีตามด้วยหรือไม่ แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะช่วยเพื่อนให้กลับเป็นคนดี

Hunter และ Stripe เป็นเพื่อนรักกัน ชอบทำอะไรเหมือนกัน เช่นใส่เสื้อลายเหมือนกัน ออกกำลังกายเหมือนกัน ชอบอ่านหนังสือแนวเดียวกัน ชอบทานอาหารเหมือนกัน เมื่ออยู่โรงเรียนก็ทำอะไรด้วยกันเสมอ

 และแล้ว Stripe ก็เปลี่ยนไป ในชั่วโมงศิลปะก็ตัดกระดาษรูปกบเป็นชิ้นเล็กๆ และโปรยเล่นในห้องเรียน แล้วก็ชวน Hunter ให้ทำเหมือนกัน Hunter เองนั้นมีความคิดว่าอยากจะเก็บกบกระดาษตัวนี้กลับไปโชว์แม่ แต่ด้วยความที่ขัดเพื่อนไม่ได้ก็เลยทำตาม Stripe โดยตัดกระดาษเป็นชิ้นเล็กๆเหมือนกัน แล้วก็เศร้าเอง

เมื่อกลับถึงบ้านแม่ก็ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรมาโชว์แม่ไหม  Hunter เล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง แม่ก็เลยสอนว่า 
Being a best friend doesn't mean always following along. 
Sometimes being a best friend means you have to help your friend be his best self. 
(เล็กชอบที่ผู้เขียนสอนจังเลยค่ะ)

หลังจากนั้น Hunter ก็พยายามไม่ตามเพื่อนมากไปนัก อย่างไหนที่คิดดูแล้วว่าไม่ควรทำ Hunter ก็ไม่ทำตาม จนในที่สุด Stripe ก็ปรับปรุงตัวแล้วก็กลับมาเป็นเพื่อนรักกันเหมือนเดิม 
Hunter, Stripe told him, "you're my best friend"