วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

43.We Can't Sleep (เรื่องเล่าเมื่อนอนไม่หลับ)

By James Stevenson

เคยไหมคะที่เด็กๆบอกว่านอนไม่หลับ แล้วคุณแม่ๆอย่างเราๆทำอย่างไรกันบ้างคะ ถ้าเป็นตอนลูกยังแบเบาะ เล็กก็ร้องเพลงกล่อมให้หลับไปค่ะ แต่พอเค้าโตขึ้นมาซัก 2-3 ขวบ ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กไม่ค่อยยอมนอนค่ะ ยิ่งตอนกลางวันเป็นช่วงที่เราอยากให้เค้าหลับมากที่สุด เราจะได้มีเวลาส่วนตัวบ้าง แต่พวกเจ้าตัวเล็กก็หลับยากหลับเย็นซะจริงๆค่ะ เล็กก็จะใช้มุขเล่าเรื่องค่ะ โดยเล่าเรื่องตอนที่เค้ายังเป็นเด็กทารกให้เค้าฟัง แล้วก็เคลิ้มหลับไป พอได้มาอ่านหนังสือนิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่าผู้เขียนก็ใช้มุขนี้กล่อมลูกเหมือนกันหรือนี่

วันหนึ่งเด็กๆ บอกคุณตาว่านอนไม่หลับ คุณตาก็เลยเล่าเรื่องสมัยเด็กๆของคุณตาให้ฟังว่่าตัวเองก็เคยนอนไม่หลับ ซึ่งเรื่องเล่าของคุณตาก็มีจินตนาการให้น่าติดตามจริงๆค่ะ

คุณตาบอกว่านอนไม่หลับก็เลยออกไปผจญภัยข้างนอกโดยวิ่งขึ้นเขา,ว่ายน้ำในทะเล,ทักทายฉลาม,เจอหมีขั้วโลก,โยนวอลัสใส่หมีขั้วโลก,ดับไฟมังกรไฟ,หลบหลังม้าลาย ระหว่างที่เล่าไปนั้นเด็กๆก็ถามคุณตาเป็นระยะว่่า คุณตา "เหนื่อยไหม" "ง่วงไหม" คุณตาบอกว่า "ไม่"


 ในที่สุดคุณตาก็เล่าว่ามีพายุเฮอริเคนพัดเอาม้านั่งที่คุณตานั่งอยู่ กลับเข้ามาที่บ้าน เมื่อหันมาถามหลานๆทั้งสองคนว่าคิดอย่างไร ก็อย่างที่เห็นค่ะ สลบไปซะแล้วค่ะ

 คุณแม่ท่านใดที่กำลังหาวิธีกล่อมลูกอยู่ จะนำเอาวิธีนี้ไปใช้บ้างก็ได้นะคะ สนุกดีค่ะ

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

42.Listen Buddy (ตั้งใจฟังหน่อย)

By Helen Lester
Illustrated by Lynn Munsinger

นิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้มีอุทาหรณ์สำหรับเด็กที่ไม่ยอมฟังผู้ใหญ่ ทั้งอาจจะแกล้งทำเป็นฟังไม่รู้เรื่อง หรือ ไม่ได้ฟังอย่างตั้งใจ จึงปฎิบัติผิดๆ ถูกๆ อยู่ตลอดเวลา เมื่อเกิดเหตุการณ์ใดๆขึ้นก็เป็นการสอนให้เค้าโตขึ้น ให้รู้จักฟังมากขึ้น นอกจากนี้แล้วหนังสือเรื่องนี้ยังได้ให้ตัวอย่างประโยคสุภาพน่ารักๆในการพูดกับลูกอีกด้วย สงสัยแล้วใช่ไหมคะว่านิทานเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร ตามมาค่ะ

Buddy เจ้ากระต่ายน้อยเป็นเด็กที่ไม่ค่อยฟังพ่อแม่ เมื่อพ่อแม่บอกอย่างแต่ทำอีกอย่าง ผู้แต่งเล่นคำพร้องเสียงด้วยค่ะ เช่น
Squash/Wash.....Tomatoes/Potatoes.....Pen/Hen

แล้ววันหนึ่งก็ทำให้ Buddy เปลี่ยนไปค่ะ เนื่องจากเค้าได้เจอประสบการณ์ที่ทำให้เกือบเอาชีวิตไม่รอด ทำให้ตั้งแต่นั้นเค้าตั้งใจฟังมากขึ้น วันนั้นพ่อกับแม่อนุญาตให้เค้าออกไปเที่ยวเล่นได้ และบอกว่า ขากลับจะมีทาง 2 ทางให้เลือก ให้ Buddy เลือกทาง "ซ้าย" เพื่อกลับบ้าน แต่ Buddy ก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน และ พูดตรงข้ามตลอดเวลาว่า "ขวา" ทำให้ในที่สุดเค้าตัดสินใจผิดเลือกทางขวา เค้าไปเจอเจ้า หมาป่า กำลังหิวและกำลังจะทำซุปทาน Buddy ก็จะช่วยแต่เมื่อหมาป่าบอกให้ทำอะไร Buddy ก็ทำตรงข้ามซะทุกเรื่อง ทำให้หมาป่าโกรธมาก จะจับ Buddy กินเป็นอาหาร


 Buddy รีบวิ่งหนีอย่างสุดฝีเท้า แล้วก็กลับบ้านอย่างปลอดภัย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Buddy ก็เปลี่ยนเป็นเด็กดี ตั้งใจฟังพ่อแม่

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

41.Count the Ways, Little Brown Bear

By Jonathon London
Illustrated by Margie Moore
หนังสือแสดงความรักของแม่ลูกเล่มนี้แฝงไว้ด้วยความรู้เรื่องพฤติกรรมของหมี และ คณิตศาสตร์โดยไม่รู้ตัวเลยค่ะ เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดความอบอุ่นจากแม่สู่ลูกอีกเรื่องหนึ่งที่ซาบซึ้งพร้อมกับรอยยิ้ม 

วันหนึ่งขณะที่แม่หมีและลูกหมีกำลังปิคนิคทานอาหารเย็นอยู่ในป่า ลูกหมีถามแม่หมีว่า Do you love me a lot?       
แม่หมีไม่รอช้า รีบตอบทันใดว่า "รัก" ให้ลองนับได้เลยว่ามากแค่ไหน แล้วแม่หมีก็สันหาคำพูดมา บอกรักลูกหมีว่า
I love you more than you love to eat a sweet berry pie.
I love you more than you love to catch this striped fish.
I love you more than I love to rub my back against this tree.
I love you more than you love two green apples plus two red apples.
I love you more than I love six honey jars, take away one honey jar.

ระหว่างที่อ่านไปเรื่อยๆ ไ้ด้เรียนรู้เรื่องตัวเลขไปเรื่อยๆ แม่หมีพยายามพาลูกหมีขึ้นนอน เจ้าลูกหมีก็ยังไม่อยากนอน พยายามจะนับความรักของแม่ให้ครบ 10 ให้ได้ ในที่สุดก็คิดขึ้นมาได้แล้วพูดว่า I love you more than five plus five.That's TEN! (ในที่สุดก็นับครบแล้วนะคะ)

แม่หมีหัวเราะแล้วก็บอกว่ารักลูกหมีมากกว่าดาวบนท้องฟ้า ขณะที่กำลังจะนับลูกหมีก็หลับไปในอ้อมกอดของแม่หมีนั่นเอง


วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

40.The Boy Who Was Followed Home

By Margaret Mahy
Picture by Steven Kellogg

มาอีกแล้วค่ะหนังสือเสริมจินตนาการ ที่ทำให้อ่านแล้วมีรอยยิ้มอีกเช่นเคย ผู้มือวาดภาพรับประกันโดย Steven Kellogg เล็กชอบสไตล์การวาดภาพของเค้าตั้งแต่เรื่อง The Missing Mitten Mystery รู้สึกว่ามันง่ายๆแต่สื่อสารถึงอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน นอกจากนั้นยังดูมีเอกลักษณ์ สามารถสังเกตได้ง่าย

วันหนึ่ง เด็กชาย Robert กลับบ้านตามปกติ ได้สังเกตเห็นว่ามีฮิปโปเดินตามเค้ามา Robert ดีใจมาก เพราะว่าเค้าชอบฮิปโปอยู่แล้ว  

เมื่อมาถึงบ้านเจ้าฮิปโปก็กระโดดลงไปเล่นในสระน้ำที่เลี้ยงปลาทองอยู่หน้าบ้านทันที

เช้าวันต่อมาเจ้าฮิปโปก็ตาม Robert ไปโรงเรียน แต่ว่า Robert ก็ไม่ได้สนใจ จนเมื่อกลับบ้านมาก็มีฮิปโปตามอีก 4 ตัว มาเล่นในสระปลาทองเหมือนเดิม วันต่อมาจาก 4 ตัว เพิ่มเป็น 9 ตัว หลังจากนั้นอีก 7 วัน บ้านเค้ามีฮิปโปถึง 27 ตัว

พ่อกับแม่เริ่มคิดหาวิธีแก้ปัญหานี้ จึงโทรไปปรึกษาแม่มดให้มาช่วยจัดการให้ค่ะ แม่มดจึงได้ให้ยาวิเศษให้ Robert ทาน แต่เมื่อจะบอกผลข้างเคียง พ่อก็ไม่ฟัง ในที่สุด Robert ก็ทานยาเข้าไป ได้ผลค่ะ เช้าวันต่อมาพวกฮิปโป หายไปหมดค่ะ แต่เดาได้ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากฮิปโปหายไป


วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556

39.A Girl named Helen Keller (ชีวิตจริง)

By Margo Lundell 
Illustrated by Irene Trivas

 ตื่นเต้น ดีใจ ระคนแปลกใจเมื่อได้เจอหนังสือเล่มนี้ พาให้นึกย้อนไปเมื่อตอน 20 กว่าปีที่แล้ว (ไม่ต้องเดาอายุกันเลยนะคะ) ตอนที่ยังเด็กๆและได้อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นซีรีย์ "นักรักโลกมายา" ซึ่งเนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับการแสดงละคร ตอนหนึ่งในเรื่องนี้เป็นเรื่องของ Helen ซึ่งนางเอกจะต้องแสดงเป็น Helen Keller เล็กอ่านเรื่องนี้แล้วยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากประทับใจในเนื้อเรื่องมาก หารู้ไม่ว่าเรื่องนี้ทำมาจากเรื่องจริง ดีใจจริงๆที่วันนี้จะได้มารีวิวหนังสือเรื่องนี้ A Girl Named Helen Keller

Helen อยู่ในช่วงเวลา คศ. 1880-1968 เมื่อเธออายุได้เกือบ 2 ขวบได้ป่วยและทำให้เธอตาบอดและหูหนวก หมอบอกว่าเธออาจจะอยู่ได้ไม่นาน แต่เธอก็รอดมาได้ เธอเป็นเด็กฉลาด โดยจะพยายามสัมผัสผู้คนที่อยู่รอบข้างแล้วเลียนแบบท่าทางนั้น เมื่อเธอโตขึ้นอีกนิดเริ่มมีอาการเอาแต่ใจร้องไห้นอนบนพื้น คุณพ่อของเธอจึงไปปรึกษา Alexander Graham Bell นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในขณะนั้น ซึ่งท่านก็บอกว่าต้องหาครูให้ Helen

แล้วครูก็เข้ามาทำให้ชีวิตของ Helen เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ครู Anna Sullivan สอน Helen การสะกดคำด้วยภาษามือ,สอนการพูด,สอนมายาทการรับประทานอาหาร,สอนคำต่างๆ ในที่สุด Helen ก็สามารถเข้าใจคำว่า Water ได้เมื่อครูสอนอย่างเข้มงวด และ เรียนโดยใช้ประสบการณ์จริง

ครอบครัวของ Helen ดีใจมากที่ Helen สามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆได้โดยที่ทั้งตาบอดและหูหนวก

ประวัติของ Helen Keller นั้นน่าสนใจมาก เธอเป็นคนตาบอดหูหนวกคนแรกที่สามารถเรียนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เกียรตินิยม เมื่ออายุได้ 24 ปี นอกจากนั้นยังเป็นนักพูดให้กำลังใจ และนักเขียนอีกด้วย อ่านแล้วรู้สึกว่าเค้าต้องต่อสู้มากมายเพื่อความสำเร็จขนาดนี้ ส่วนเรา และ ลูกของเรา โชคดีเหลือเกินแล้วที่เกิดมาปกติ

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

38.Contrary Mary (เจ้าหนูตรงข้าม)

ฺBy Anita Jeram

หนังสือเล่มนี้ผ่านตาครั้งแรกในการเช็ดทำความสะอาดหนังสือ หยิบขึ้นมาอ่านทันที เพราะสะดุดตากับภาพวาดที่รู้สึกคุ้นเคย และก็ไม่ผิดหวังค่ะ เมื่อเห็นชื่อผู้เขียน Anita Jeram ซึ่งเป็นผู้วาดภาพหนังสือนิทานที่มีชื่อเสียง Top 100 Children's books  นั่นคือเรื่อง Guess How Much I love You เมื่อเปิดอ่านก็ไม่ทำให้ผิดหวังอีกเช่นกันค่ะ ผู้เขียนผูกเรื่องได้น่ารัก น่าจะดึงมาจากความจริงของเด็กช่วงประมาณ 2 ขวบ - 3 ขวบ ที่ชอบทำอะไรตรงข้ามกับที่เราบอกไปทุกอย่าง ซึ่งบางครั้งการทำอะไรกลับด้านหรือตรงข้ามก็สามารถทำให้เรายิ้มได้ อย่างเช่นตอนจบของหนังสือเรื่องนี้ รับประกันได้ว่าเมื่ออ่านจบคุณจะต้องยิ้มแน่นอน

เช้าวันหนึ่ง Mary ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึก "ตรงข้าม" ทุกอย่าง เธอใส่หมวกกลับด้าน, ใส่รองเท้าสลับด้าน

ออกไปเล่นน้ำฝนทั้งๆที่แม่บอกให้มาอยู่ในร่ม,ขี่จักรยานกลับด้าน,อ่านหนังสือกลับหัว แม่ของ Mary ถึงกับส่ายหัวเลยทีเดียว 

คืนนั้นแทนที่แม่จะพา Mary เข้านอนด้วยวิธีปกติ เธอจึงวางลูกลงนอนบนเตียงกลับหัวกลับท้าย เปิดผ้าม่าน เปิดไฟ แล้วพูดว่า Good morning! ทำเอา Mary รีบลุกขึ้นด้วยความงง พร้อมกับหัวเราะออกมาทันที

 Do you love me, Contrary Mary? asked Mary's mom, giving her a cuddle.
 

No! said Contrary Mary. And she gave her mom a great big kiss.


วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556

37.The Treasure Hunt (ค้นหาสมบัติ)

By Nick Butterworth
 
ว่าจะหาเวลาเขียนเล่าเรื่องนิทานชุดนี้มาหลายครั้งแล้ว ในที่สุดก็ประจวบเหมาะสมแก่เวลา ชุดนี้เล็กเจอแล้วสะดุดตาที่รูปก่อนเลยค่ะ ดูน่ารัก เบาๆ อบอุ่นอย่างไรก็ไม่รู้ค่ะ เมื่อเปิดด้านในก็รู้เลยว่าต้องเป็นเรื่องราวสนุกๆน่าติดตามแน่ๆ แต่ไม่น่าเชื่อผู้เขียนผูกเรื่องให้ Percy เป็นแค่คนดูแลสวนสาธารณะ ซึ่งถ้าเรามอง อาจมองข้ามอาชีพของคนเหล่านี้ แต่ผู้เขียนสามารถหยิบเอาอาชีพนี้มาแต่งเรื่องราวได้มากมายเป็น     ซีรีย์เลยทีเดียวค่ะ โดยที่มีเหล่าสัตว์ต่างๆเป็นเพื่อน ช่วยแต้มสีสันให้เรื่องราวสนุกมากขึ้น 

เริ่มเรื่องด้วยการที่ Percy ปิดป้ายประกาศเชิญชวนมาเล่นเกมล่าหาสมบัติ พวกสัตว์ต่างๆให้ความสนใจและตื่นเต้นกันมาก เจ้าหมาจิ้งจอกรีบบอกเลยค่ะว่าพอจะอ่านออก (แต่ถือกระดาษกลับหัว) Percy รู้ว่าพวกสัตว์อ่านไม่ออกจึงบอกว่าจะเขียนปริศนาเป็นรูปภาพแทนตัวอักษร

เช้าวันต่อมา เริ่มเล่นเกมกันได้แล้วค่ะ Percy ติดกระดาษไว้ตามที่ต่างๆ พวกสัตว์ก็ไปตามรูปนั้น เช่น ที่กระดานหก,ที่รูปปั้น,ที่สะพาน

Percy ก็เดินไปวางปริศนาจนเกือบจะครบแล้ว ก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบช็อคโกแลคเหรียญทองออกมา แล้วก็กินด้วยความหิว แล้วเค้าก็นึกขึ้นได้ว่า เค้าได้กินสมบัติที่เตรียมไว้ให้พวกสัตว์หมดแล้ว ทำอย่างไรดีล่ะคราวนี้

เมื่อพวกสัตว์มาถึงปริศนาสุดท้าย พวกเค้าก็ไม่เห็นกระดาษปริศนาอีก พวกเค้าก็เดากันไป และก็เดินกันไปผิดทาง จนไปเจอวัวร้อง มอ มอ อยู่ เมื่อ Percy เดินมา พวกสัตว์บอกว่าไม่เห็นเจอสมบัติ แต่ว่าเจอเพื่อนใหม่ ผู้เขียนทิ้งท้ายติดตลกอธิบายลักษณะของ Percy ว่า         Percy coughed and wiped the corner of his mouth with his handkerchief. And don't you think friends are better than treasure?  สรุปว่า Percy ก็รอดตัวไป เพราะพวกสัตว์เห็นด้วยกับ Percy ทุกประการ

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

36.Tommy Catches a Cold (ไม่สบายไม่สนุก)

By Sarah Willson
Illustrated by Barry Goldberg
เวลาลูกป่วยทีไร ถือเป็นเรื่องที่เหนื่อยที่สุดสำหรับคนเป็นพ่อแม่อย่างเราก็ว่าได้ เพราะว่า ไม่ค่อยได้นอน ต้องคอยพะวงว่าลูกจะไข้ขึ้นสูง จะชักหรือเปล่า ต้องคอยเช็ดตัว และสารพัดหาของกินมาให้ลูก เพื่อบำรุงร่างกาย ซึ่งตอนป่วย เด็กก็ไม่ค่อยอยากกินอะไรซะด้วย อาจเป็นเพราะว่าเจ็บคอหรือลิ้นไม่ค่อยรับรสชาติ

แม่พา Tommy ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะในฤดุหนาววันหนึ่ง เค้าเล่นกับเพื่อนที่เป็นหวัด แล้วในที่สุดก็ติดหวัดจนได้ค่ะ ตอนเด็กไม่สบายน่าสงสารที่สุด ผู้วาดรูปวาดรูปได้น่ารักมากค่ะ

 คุณยายทำซุปไก่มาฝาก แม่เอามาใส่ขวดนมเพื่อให้ Tommy ดื่ม ซ้ำยังมีขาไก่แถมมาด้วย
(อ่านหน้านี้แล้วขำขึ้นมาทีเดียวค่ะ)

พอเพื่อนมาเยี่ยมก็ได้ขำอีกค่ะ ต้องมีคอกกั้นไม่ให้เพื่อนเข้าใกล้เกินไปค่ะ 

ไม่กี่วัน Tommy ก็หายป่วย และ กลับไปเล่นซนได้อีกค่ะ


วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556

35.Nursery School Rabbit (เพื่อนรักแป้งโดว์)

By Adele Geras
Pictures by Vanessa Julian-Ottie

นิทานภาษาอังกฤษ เรื่องนี้สามารถอธิบายเรื่องราวความตั้งใจของเด็กชายคนหนึ่งที่จะทำกระต่ายจากแป้งโดว์ที่โรงเรียน เล็กได้ประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้มากเพราะว่าได้ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในกิจกรรมภายในโรงเรียน และ ภายในครอบครัวอีกด้วย

เด็กชายคนหนึ่งต้องการปั้นกระต่ายจากแป้งโดว์ที่โรงเรียน เค้าเริ่มต้นนวดแป้งโดว์แล้วใช้พิมพ์คุ๊กกี้ตัดเป็นรูปกระต่าย แล้วใส่ตาให้เจ้ากระต่ายน้อยเรียบร้อย
 

เมื่อถึงเวลากลับบ้านเค้าก็เอาเจ้ากระต่ายแป้งโดว์นี้ใส่ลงในกระเป่าเสื้อ เมื่อมาถึงบ้านเอามันออกมาปรากฎว่ามันบุบบู้บี้ซะแล้วค่ะ

พ่อของเค้าก็เลยบอกว่า งั้นจะทำให้ใหม่ เพื่อเป็นเพื่อนกับตัวเก่าค่ะ 



วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

34.Momma's Cub (การสอนให้ลูกใช้ชีวิต)

Written & Illustrated by John C.Bashore

นิทานภาษาอังกฤษเรื่องเกี่ยวกับหลังการจำศีลในฤดูหนาวของเจ้าหมีแม่ลูก น่ารัก ได้ความตื่นเต้น และผจญภัยไปพร้อมๆกับพวกเค้า แม่หมีสอนลูกหมีต่างๆได้ดี อ่านแล้วก็กลับมาย้อนดูตัวเราเองเหมือนกันค่ะว่า ระหว่างที่ลูกโตขึ้นมาแม่อย่างเราๆก็คงได้สอนอะไรลูกหลายๆอย่างเหมือนอย่างแม่หมีสอนลูกเหมือนกัน  

และที่ยังสังเกตได้อีกอย่างสำหรับหนังสือเล่มนี้ก็คือ Rhymes อ่านแล้วมีคำคล้องจองกันอยู่ในหนังสือในหน้าเดียวกัน ทำให้เมื่ออ่านแล้วได้จังหวะ เหมาะเจาะ ไพเราะจริงค่ะ  เช่น pout - trout / slow-goes / out-trout / about-trout / trip-slip

หลังจากการนอนหลับจำศีลที่ยาวนานในฤดูหนาว ลูกหมีก็ปลุกให้แม่หมีตื่นขึ้นมา แล้วพวกเค้าก็ออกไปโลกภายนอกกัน

 แม่หมีก็บอกว่าจะพาไปจับปลากินกัน แล้วก็ลงน้ำไปหาปลา ปากก็บอกลูกว่าให้อยู่ที่ฝั่ง อย่าตามแม่มา แล้วก็ส่งปลาขึ้นไปให้ลูกหมีบนฝั่ง เจ้าหมีก็เดินเข้าไปจะกิน แล้วก็ล้มลงกลิ้งลงน้ำไปเลย ลูกหมีร้องขอความช่วยเหลือใหญ่เลยค่ะ                                                                                                                                                 (ตอนที่อ่านหน้านี้ตื่นเต้นมากค่ะ ลุ้นไปด้วยว่าแม่หมีจะทำอย่างไร)

 แม่หมีก็ตะโกนสอนไปอีกค่ะ ว่าให้ตามกระแสน้ำไปก่อน มองที่ฝั่ง เดี่ยวจะฉุดขึ้นมา แล้วแม่หมีก็ช่วยลูกหมีไว้ทันก่อนที่จะถึงน้ำตกค่ะ                                                                                                          (หวาดเสียวไปตามๆกันค่ะ)

หลังจากนั้นก็ยังผจญภัยอีกเพื่อที่จะข้ามฝั่งไปกินเบอร์รี่ จะเกิดอะไรขึ้นอีกหรือเปล่า ต้องเอาใจช่วยแม่หมีกับลูกหมีเพื่อให้เค้ากลับมานอนหลับฝันดีอย่างในภาพนะคะ

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

33.That Makes Me Angry! (ความเข้าใจผิด)

By Anthony Best
Illustrated by Tom Cooke

ขออีกซักเรื่องนิทานภาษาอังกฤษเกี่ยวกับความโกรธนะคะ เห็นชื่อเรื่องก็น่าสนใจแล้วค่ะ อดไม่ได้ที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน เพราะอยากรู้ว่าทำไมเด็กๆถึงโกรธกันได้ อะไรทำให้เค้าโกรธกัน เรื่องใหญ่ไหม หรือเป็นเรื่องเล็กๆ เรื่องนี้กล่าวถึงความเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน และเกิดจากที่พูดกันไม่เคลียร์ พูดกันไม่จบ นำมาซึ่งความโกรธค่ะ เด็กๆสามารถเข้าใจผิดกันได้ค่ะ แต่เมื่อรู้ความจริงแล้ว ก็กลับมาคืนดีกันได้อย่างน่ารักจริงเชียวค่ะ

วันหนึ่งอากาศดี ลมแรง Ernie ชวน Bert ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างเมามัน ออกไปเล่นว่าวที่สวนสาธารณะ ส่วนตัว Bert เองก็ไม่ค่อยอยากไปเพราะว่ากำลังอ่านหนังสือติดพัน แต่เมื่อเพื่อนชวนก็เลยไป เค้าแบ่งหน้าที่กันค่ะ โดย Ernie จะออกไปซื้อว่าวเอง และให้ Bert ทำแซนวิซ แล้วไปเจอกันบริเวณรูปปั้นที่สวนสาธารณะ โดยที่ Ernie รีบวิ่งออกไปทั้งที่ยังฟังสถานที่นัดหมายไม่จบ

แล้ว Ernie ก็มานั่งรอที่รูปปั้นเด็กผู้หญิงกับผู้ชาย 

ส่วน Bert เมื่อทำแซนวิซเสร็จก็มารอที่รูปปั้น Mother Goose

แล้วแบบนี้จะเจอกันไหมคะเนื่ย ต่างคนต่างรอ ต่างคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายเบี้ยวนัด ไม่รักษาสัญญา เมื่อรอนานเข้าก็เริ่มโกรธค่ะ ตัดสินใจกลับบ้านทั้งคู่ ไปเจอกันที่บ้าน ระเบิดอารมณ์ใส่กันเลยค่ะ

แต่เมื่อทั้งคู่ได้รู้ความจริงว่า ได้ไปที่สวนสาธารณะเหมือนกัน แต่ว่าไปรอกันคนละที่ ก็หัวเราะออกมาพร้อมๆกัน หายโกรธกันในทันที แล้วก็ชวนกันออกไปเล่นว่าวกันใหม่ค่ะ

อ่านจบแล้วก็ได้ยิ้มค่ะ ไม่คิดว่าเด็กๆจะหายโกรธกันเร็วแบบนี้ น่ารักดีค่ะ