วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

27.The Barry's Big Discovery(พูดหน้าห้อง)

By Damian X.Fulton
 จำได้ว่าตอนที่เรียนมัธยม เวลาครูให้ออกไปพูดพรีเซ้นท์งานหน้าห้อง เรามักจะรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นทุกครั้ง ทั้งๆที่เตรียมตัวมาอย่างดี แต่ก็จะลืมที่จะพูดไปซะอย่างงั้น ตอนนี้มองกลับไปก็คิดว่าการฝึกพูดหรือเสนองานหน้าห้องเป็นการฝึกที่ดีอย่างหนึ่งในการพูดต่อหน้าคนมากๆ และเมื่อเรามาทำงานบางครั้งเราก็ต้องใช้ทักษะนี้เหมือนกัน นิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้นอกจากจะชี้ให้เห็นถึงการหาข้อมูลเพื่อเตรียมตัวนำเสนองานหน้าห้องแล้ว  เล็กเองก็ได้ความรู้เิพิ่มขึ้นด้วยเรื่อง Five servings of fruit and vegetables each day (การรับประทานอาหารที่ต้องมีผักและผลไม้ไม่ต่ำกว่า 5 มื้อในแต่ละวัน)

วันหนึ่ง Dewey Barry กลับมาบ้านพร้อมกับสีหน้ากังวล และได้บอกแม่ไปว่าครูให้นำเสนองานเรื่องเกี่ยวกับผักและผลไม้หน้าห้อง เค้าเริ่มหาข้อมูลกับคนในครอบครัว แต่ก็ไม่มีใครว่างพูดคุยด้วย ในที่สุดเค้าก็ศึกษาเองและได้ข้อสรุปว่า
Fruits and vegetables are packed with important vitamins and nutrients.
We have to challenge ourselves to eat five servings of fruit and vegetables each day.
 If we eat at least five servings a day,we can have more energy and reduce fat and calories.

หลังจากนั้นทุกคนในครอบครัวก็ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร พยายามเพิ่มผักและผลไม้เข้าไปในแต่ละมื้ออาหาร หันมาดื่มน้ำผลไม้แทนการดื่มน้ำอัดลม เตรียมลูกเกดไว้ในกล่องอาหารกลางวัน ทานแครอทชิ้นเล็กเป็นอาหารว่าง

เมื่อวันที่ต้องนำเสนองานมาถึง Dewey รู้สึกประหม่าและตื่นเต้นมาก แต่หลังจากนำเสนอเรื่องความคืบหน้าในการใช้หลักการทานผักและผลไม้ 5 มื้อต่อวันของครอบครัวตัวเอง เค้าก็พูดได้อย่างลื่นไหล ถึงความเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพของคนภายในครอบครัว เมื่อนำเสนอจบ เพื่อนๆทุกคนลุกขึ้นปรบมือ ครูก็ชมและก็บอกว่าจะนำหลักนี้ไปใช้เหมือนกัน

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

26.Benjy and the Barking Bird

By Margaret Bloy Graham

ผู้ที่เลี้ยงสุนัขเคยรู้สึกหรือไม่ว่าสุนัขของท่านก็มีความรู้สึกเหมือนกัน หนังสือนิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่าสุนัขก็มีความรู้สึกอิจฉาเหมือนกัน ผู้เขียนเรื่องนี้ได้รับรางวัล Caldecott หลายครั้ง เรื่องที่เขียนที่โด่งดังเป็นที่รู้จักคือเรื่อง Harry the Dirty Dog เค้าได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับ Harry อีกหลายเรื่อง แนวทางการวาดรูปของเค้ามีเอกลักษณ์ ใครที่เคยได้อ่าน Harry มาแล้ว เมื่อมาเจอเล่มนี้ก็สามารถเดาได้ทันทีว่าเป็นของ Margaret Bloy Graham แน่นอน

Benjy เป็นสุนัขสีน้ำตาล หูยาว หางสั้น ของครอบครัวพ่อ แม่ และลูก 2 คน วันหนึ่งป้า Sarah จะมาเยี่ยมที่บ้านและจะเอานกแก้วมาด้วย Benjy ไม่ชอบนกแก้วตัวนี้เพราะว่ามาทีไรก็แย่งความสนใจจากทุกคนไปจากเค้า


เจ้านกแก้วส่งเสียงร้องดังจน Benjy รำคาญ ก็เลยคาบกรงนกแก้ว จะนำไปทิ้งที่ถังขยะหลังบ้าน แต่เมื่อยกกรงขึ้นประตูกรงก็เปิด เจ้านกแก้วบินหนีไป เมื่อป้า Sarah รู้เรื่องก็เสียใจมาก ทุกคนในครอบครัวช่วยกันหาแต่ไม่เจอ

Benjy เห่าเรียกทุกคนขึ้นไปที่ชั้นสอง ทุกคนเจอนกแก้วกำลังช่วยสร้างรังให้นกตัวอื่น ทุกคนดีใจมาก แต่ไม่สามารถนำเอานกแก้วกลับเข้ากรง และจะโทรเรียกนักดับเพลิง ต่อมามีเสียงโทรศัพท์จากร้านขายสัตว์เลี้ยง ว่าBenjy ไม่ยอมกลับบ้านเพราะมัวแต่ เฝ้ามองดูนกแก้วในกรง พ่อจึงใหูู้ลูกๆไปซื้อนกแก้วตัวนี้กลับมา เมื่อมาถึงเจ้านกแก้วของป้ารีบบินลงมาจากต้นไม้มาหานกแก้วในกรงอย่างรวดเร็ว ฤดูใบไม้ผลิครั้งต่อมา ป้ามาที่บ้านพร้อมกับรูปของนกแก้วกำลังกกไข่อยู่


วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

25.The Picnic (ปิคนิคมหัศจรรย์)

ฺBy Kady MacDonald Denton
 พ่อแม่สมัยนี้ต้องออกไปทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัว เวลากลับมาถึงบ้านก็คงเหนื่อยแล้ว และบางคนยังเอางานกลับมาทำที่บ้านอีก เคยมีบ้างไหมคะที่เรามองข้ามความต้องการของลูกไป เช่นลูกชวนเล่นก็บอกว่ายังยุ่งอยู่ ไม่ว่าง ให้ไปเล่นเอง  ผู้เขียนมีไอเดียการแต่งเรื่องที่แปลกแหวกแนว ผสมกับการใช้สีน้ำวาดภาพที่ดูง่ายๆ ใช้สีไม่มาก แต่สื่อออกถึงสภาพแวดล้อมที่สวยงาม เช่นในสวนสาธารณะ ท้องฟ้าที่สีฟ้าอ่อนๆ สีเขียวของหญ้าที่ดูยุ่งๆแต่ดูดี เมื่อมาอ่านหนังสือนิทานภาษาอังกฤษเล่มนี้แล้วทำให้ ได้หัวเราะแต่เช้าเลยค่ะ เลยอยากแบ่งปันเสียงหัวเราะนี้ให้กับทุกคนค่ะ 

เช้าวันหนึ่ง Alison และ Jeremy เพื่อนทั้งสองคนปรึกษากันว่า อากาศร้อนมาก อยากจะไปปิคนิคที่สวนสาธารณะ ทั้งสองคนกลับไปถามพ่อและแม่ของแต่ละฝ่าย แต่ว่าพ่อของ Jeremy บอกว่าไม่ว่าง แม่ของ Alison บอกว่าไม่ได้ ทั้งสองคนกลับมาคุยกันว่าจะทำอย่างไรถึงจะพาผู้ใหญ่ไปด้วย แล้ว Alison ก็ได้ไอเดียจากการซักตุ๊กตาหมีของเธอ แล้วทำให้ตัวหดเล็กลง พวกเค้าจึงสรุปว่าต้องซักพ่อและแม่จะได้ตัวเล็กลงแล้วก็พาไปปิคนิคได้

เมื่อทั้งคู่ตัวเล็กลงแล้ว ทั้งสองคนนำพ่อและแม่ใส่ตะกร้าเดินไปที่สวนสาธารณะ แล้วก็ปูผ้านั่งเล่นกัน ส่วนพ่อและแม่ของทั้งคู่ก็นั่งใต้ร่มไม้ ทุกคนมีความสุข


เมื่อถึงเวลาพาพ่อแม่กลับบ้าน ทั้งคู่เลือกที่จะเดินจูงมือ อุ้ม และ ให้ขี่คอ เมื่อถึงบ้าน พ่อของ Jeremy ตัวใหญ่ขึ้นเหมือนเดิมทันที แต่แม่ของ Alison เลือกที่จะตัวเล็กต่อไปแล้วนั่งวาดรูปกับลูกของเธอ

อ่านจบแล้วทำให้ได้นั่งคิดต่อว่า ทำไมแม่ของ Alison เลือกที่จะตัวเล็กต่อไป เล็กคิดว่าแม่คงรู้สึกดีที่ได้นั่งเล่นกับลูกบ้าง ให้เวลากับลูกบ้าง ให้ลูกอุ้มเิดินไปเดินมาเหมือนตุ๊กตาบ้าง คงมีความสุขดีนะคะ

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

24.Arthur's Promise (รักษาัสัญญา)

By Marc Brown
 เคยไหมคะที่เราสัญญาอะไรออกไปเพื่อให้เรื่องต่างๆผ่านพ้นไป ไม่ได้จริงจังกับสัญญาเท่าไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปคนที่เราสัญญา้ด้วย มา    ทวงสัญญา ตอนนั้นคงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คำสัญญาจะสำัคัญต่อเมื่อเรารักษาสัญญา นิทานภาษาอังกฤษของ Marc Brown ผู้เขียนเรื่อง Arthur ที่โด่งดังทำเป็นการ์ตูนหลากหลายตอน ในเรื่องนี้จะเน้นเรื่องเกี่ยวกับคำสัญญา ครอบครัวนี้ประกอบด้วย 2 พี่น้องคือ Arthur และ D.W.ที่มีเรื่องราวมาให้สอนใจกันค่ะ

อาเธอร์วิ่งกลับมาบ้านอย่างรวดเร็วในเย็นวันหนึ่งเพื่อตั้งใจจะมาดูการ์ตูนที่ชอบ แต่เมื่อมาถึงน้องสาวก็นั่งดูทีวีอยู่ก่อนแล้ว อาเธอร์พยายามหาวิธีมาล่อให้น้องสาวยอมใ้ห้เค้าดูทีวี ในที่สุดน้องสาวก็เสนอว่าต้องให้เค้าเข้าร่วมงานมีตติ้งกลุ่มเพื่อนๆของอาเธอร์ในครั้งหน้า อาเธอร์บอกว่า "สัญญา"

เมื่อถึงวันมิตติ้ง อาเธอร์พยายามหาวิธีไม่ให้น้องสาวเข้าร่วมมีตติ้ง เพราะไม่อยากขายหน้าเพื่อนๆ โดยต้องการให้พ่อแม่ และ ยาย พาน้องสาวไปเที่ยวสวนสัตว์ แต่ก็ไม่มีใครว่าง จนอาเธอร์หาทางหลอกล่อน้องสาวให้ดูทีวีรายการที่ชอบไปเรื่อยๆ โดยไม่บอกว่าจะถึงเวลานัดแล้ว 


แต่แล้วน้องสาวก็มาปรากฎกายในงานมีตติ้งจนได้ แต่เธอก็แสดงให้เพื่อนๆของอาเธอร์เห็นว่าเธอไม่ได้ทำให้งานน่าเบื่อ เธอกลับเตรียมขนม อาหาร ของว่าง ไว้ให้เพื่อนของพี่ชายรับประทานกันอย่างมีความสุข และประทับใจ

อ่านจบแล้วลองคิดดูซิคะว่าเคยสัญญาอะไรกับใครไว้บ้างหรือเปล่าคะ อาจจะลืมไปแล้ว หรืออาจจะผิดสัญญาไปแล้ว หรืออาจจะรักษาสัญญาอยู่ ลองนึกดูค่ะ

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

23.Wallaby Booth (การพูดเกินจริง)

Wallaby Booth and the Truth about honesty
By Joanna Weaver
Illustrated by Tony Kenyon
การพูดโกหกเกินจริง กับ การพูดความจริง แบบไหนยาก แบบไหนง่ายกว่ากัน ถ้าเด็กๆคิดว่าการพูดความจริงเป็นเรื่องน่าเบื่อ โลกคงน่ากลัวพิลึก ยิ่งพูดเกินจริงมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งติดเป็นนิสัย ต่อไปก็ไม่มีใครเชื่อที่เราพูด ทำให้นึกถึงนิทานอีสปของบ้านเรา "เด็กเลี้ยงแกะ" ในเรื่องนี้ยังมีการกล่าวโยงข้ามฟ้ามาถึงประเทศไทยอีกด้วยนะคะ อ่านแล้วต้องอ่านซ้ำว่าเป็น Thailand จริงๆ

นานมาแล้วมีเด็กชายคนหนึ่งชื่อ Wallaby Booth เค้าคิดว่าการพูดความจริงเป็นเรื่องน่าเบื่อ พ่อของเค้าทำธุรกิจร้านซักรีด แต่เค้าบอกเพื่อนๆว่าพ่อมีอาชีพเป็นนักสืบ เมื่อครูถามว่าการบ้านอยู่ไหน เค้าก็พูดแต่งเรื่องไปเรื่อยว่า พายุทอร์นาโดพัดการบ้านไปจากมือเค้า และพัดไปไกลถึงประเทศไทย (มาไกลจริงๆ)


วันหนึ่งเค้าบอกเพื่อนๆว่า ลุงของเค้าจะกลับมาจากประเทศออสเตรเลียและจะนำจระเข้มาด้วยในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ เพื่อนๆเดินหนีไม่มีใครอยากฟังคำโกหกอีก เมื่อคุณลุงมาถึง เค้าก็ร้องไห้เสียใจว่าเพื่อนไม่เชื่อคำพูดของเค้าเลย 


แต่แล้วเพื่อนในกลุ่มก็มาพบเค้า เค้าสัญญาว่าต่อไปจะพูดแต่ความจริง
From now on, I'll be truthful.
I will not exaggerate or be a big fraud.  


วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

22.Five Minutes' Peace (ขอเวลาเงียบๆ 5 นาที)

By Jill Murphy

การเป็นแม่ เป็นงานที่ต้องเสียสละมาก ไม่มีวันหยุด ไม่จบสิ้น ทุกคนคงเห็นด้วยนะคะ ยิ่งมีลูกหลายคนยิ่งต้องใช้พลังงานเยอะขึ้น จะหาเวลาพักซักทีก็ยากแสนยาก เหนื่อยแสนเหนื่อย จะหนีไปไหนลูกก็ตามติดตลอด อ่านหนังสือนิทานภาษาอังกฤษเล่มนี้แล้ว อ่านไปยิ้มไป เพราะนึกถึงตอนลูกเด็กๆ เค้าต้องการแม่ตลอดเวลาอย่างในนิทานเลยค่ะ







ขณะที่เด็ก 3 คน กำลังทานอาหารเช้ากันอยู่ แม่หยิบถาดมาใส่ของว่างพร้อมหนังสือพิมพ์ เดินย่องไปที่ประตู ทันใดนั้นลูกๆก็ถามแม่ว่าจะไปไหน แม่ตอบว่าจะขอเวลาอยู่เงียบๆซัก 5 นาทีในห้องน้ำ ทั้งสามรีบถามว่าขอไปด้วยได้ไหม แม่รีบตอบว่าไม่ได้









เมื่อเข้าไปในห้องน้ำยังไม่ทันไร ลูกคนโตเข้ามาบอกว่าขอเป่าขลุ่ยให้ฟัง 1 นาที ลูกคนรองบอกว่าจะอ่านหนังสือให้ฟัง ลูกคนเล็กเดินตามเอาตุ๊กตาลอยน้ำมาให้แม่เล่นในอ่าง แล้วทุกคนก็อยู่ในห้องน้ำเล่นกันสนุกสนาน









แม่รีบออกจากห้องน้ำลงไปในครัว เพื่อขอใช้เวลาเงียบๆที่เหลืออีก 3 นาที 45 วินาที ก่อนที่ลูกจะออกจากห้องน้ำตามมาอีก



วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

21.Something Special (ความสามารถพิเศษ)

By David McPhail
เด็กเป็นวัยที่เหมาะแก่การเรียนรู้และค้นค้าสิ่งต่างๆในชีวิต เด็กแต่ละคนมีความสามารถไม่เหมือนกัน เค้าอาจจะถนัดไม่เหมือนกัน เคยได้ยินผู้เชี่ยวชาญพูดว่าอัจฉริยภาพมีด้วยกัน 8 ด้านคือ
(1) อัจฉริยภาพด้านภาษาและการสื่อสาร (Linguistics Intelligence)
(2) อัจฉริยภาพด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว (Bodily-Kinesthetic Intellgence)
(3) อัจฉริยภาพด้านมิติสัมพันธ์และการจินตภาพ (Spatial Intellgence)
(4) อัจฉริยภาพด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ (Logical-Mathematical Intellgence)
(5) อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence)
(6) อัจฉริยภาพด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น (Interpersonal Intelligence)
(7) อัจฉริยภาพด้านการเข้าใจธรรมชาติ (Naturalist Intelligence)
(8) อัจริยภาพด้านดนตรีและจังหวะ (Musical Intelligence)
การส่งเสริมให้เค้าเจอกับการเรียนรู้ใหม่ๆจะช่วยทำให้เค้ารู้จักตัวเองและเลือกเองว่าเค้าชอบหรือถนัดทางไหน

นิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้สอนเราซึ่งเป็นพ่อแม่ผู้อ่านหนังสือให้ลูกฟัง ให้ไม่คาดหวังกับลูกมากเกินไป และสอนเด็กที่อ่านหนังสือเองได้แล้วเรื่องเกี่ยวกับความสามารถพิเศษ ที่แต่ละคนไม่เหมือนกัน ลอกเลียนแบบกันไม่ได้ ขึ้นอยู่กับความชอบ ขึ้นอยู่กับการมานะฝึกฝน ซึ่งในที่สุด เด็กจะหาเจอเอง


ทุกคนในครอบครัวของแซม มีความสามารถพิเศษกันทุกคน พี่สาวคนโตสามารถเล่นเปียโน พี่สาวอีกคนหนึ่งเล่นเบสบอล พี่ชายเก่งคอมพิวเตอร์ พ่อทำกับข้าวเก่ง แ่ม่ชอบแกะสลัก คุณยายถักนิตติ้ง แต่แซมไม่มี เค้าพยายามหาว่าตัวเองมีความสามารถอะไรพิเศษหรือไม่โดยเลีียบแบบแต่ก็ไม่สำเร็จ


เมื่อเห็นแม่กำลังจะระบายสีเป็นที่แกะสลักเสร็จแล้ว แซมก็เข้าไปช่วย แล้วก็เข้าท่าทีเดียวค่ะ แซมเริ่มชอบแล้วค่ะ เค้าเริ่มวาดรูปแอ๊ปเปิ้ลก่อน แล้วก็วาดรูปพี่สาวเล่นเปียโน วาดรูปพี่สาวอีกคนกับถ้วยรางวัลกีฬาเบสบอล พี่ชายกับคอมพิวเตอร์ แล้วทุกคนก็คิดว่า การวาดรูปนี่แหละคือความสามารถพิเศษของแซม





อ่านจบแล้วลองหาดูซิคะว่า เด็กๆของเราเด่นด้านใด อาจจะไม่ต้องถึงขั้นอัจฉริยะ เพียงให้เค้ามีความภูมิใจว่าเค้ามีความสามารถพิเศษติดตัวไปในอนาคตก็พอ ถ้ายังไม่มี หรือ ไม่เจอ ก็พยายามส่งเสริมให้เค้าเจอหลายๆอย่าง แล้วเค้าจะเลือกเอง และ เจอในที่สุด

20.It's OK to say No.(เรียนรู้ปฏิเสธคนแปลกหน้า)

Written by Amy C.Bahr
Illustrated by Frederick Bennett Green
"การสอนลูกโดยใช้หนังสือเป็นสื่อดีกว่าพูดปากเปล่า" คุณเห็นด้วยไหมคะ เพราะหนังสือมีรูปภาพและเนื้อหาที่สัมพันธ์กัน เวลาเด็กมองภาพและได้ยินเราอ่านไปด้วย จะทำให้เข้าใจโดยไม่ต้องพูดซ้ำๆ หรือว่า่บ่นจนปากเปียกปากแฉะ ที่สำคัญเด็กสามารถจดจำเนื้อหาในหนังสือได้แม่น และสามารถหยิบมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ที่เขียนมานี้เพราะว่าเวลาจะพูดสอนอะไรลูกแต่ละครั้ง ลูกไม่เห็นภาพ บางครั้งการสอนด้วยการดูข่าวที่เกิดขึ้นจริง มันหดหู่และน่าสงสารเกินไป หนังสือเล่มนี้ได้ให้คำสอนที่ดีมีประโยชน์แก่เด็กในเรื่องภัยอันตรายรอบตัวที่ควรระวัง ควรนำมาอ่านให้เด็กฟังค่ะ

เมื่อตอนเป็นเด็ก เราคงได้รับการสอนต่างๆมากมาย จากพ่อ แม่ ครู ทุกครั้งเราก็ตอบรับว่าได้และปฎิบัติตาม แต่มีบางเหตุการณ์ที่เราสามารถตอบปฎิเสธได้ เช่น
1.ขณะเดินกลับบ้านถ้ามีคนแปลกหน้าเข้ามาจะพูดคุยด้วย เราสามารถปฏิเสธและวิ่งไปบอกพ่อแม่ได้
2.ถ้าคนแปลกหน้าซื้อของให้ เราไม่ควรรับของจากคนแปลกหน้า แม้ว่าจะอยากได้ก็ตาม
3.ถ้าคนแปลกหน้าชวนขึ้นรถ
4.ถ้าเพื่อนบ้านชวนเข้าไปในโรงรถ เพื่อดูลูกแมว ไม่ควรเข้าบ้านคนอื่นถ้าพ่อแม่อยู่ด้วย
5.ถ้ามีคนมาขอถ่ายรูป ให้ปฏิเสธและกลับบ้านทันที
6.ถ้ามีคนให้เงินเพื่อช่วยเค้าตามหาลูกหมาที่หลงทาง

ผู้เขียนทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้ารู้สึกไม่ดี กังวล หรือผิดปกติให้รีบกลับบ้าน ชอบตอนจบค่ะ
It's OK to talk about it with your mom or dad or with the person who reads you this book.

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

19.My Dog Never Says Please

By Suzanne Williams
Pictures by Tedd Arnold
การรักษามารยาทบนโต๊ะอาหาร มารยาทเรื่องทั่วๆไปเป็นเรื่องที่ต้องสอนกันที่บ้าน เด็กๆควรจะต้องเรียนรู้และค่อยๆปรับให้สามารถเข้ากับคนในครอบครัว และ สังคม แต่ก็ไม่ง่ายนักที่เด็กจะทำได้ตลอด บางครั้งอาจจะลืม บางครั้งไม่อยากทำ และบางครั้งเด็กอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องทำแบบนั้น แบบนี้ ทำไมสัตว์ไม่เห็นต้องทำ เหมือนเ่ช่นเด็กหญิงในเรื่องที่เธออยากเป็นสุนัข

เย็นวันหนึ่ง หนูน้อย Ginny หิวข้าวมาก จึงพูดบนโต๊ะอาหารว่า "ส่งมันฝรั่งมาหน่อย" เธอพูดห้วนมากจนแม่ของเธอเตือนว่า
Mind your manners.
เธอสงสัยว่าทำไมสุนัขที่บ้่านของเธอจึงไม่ต้องพูดคำว่า Please เลย แล้วก็ไม่มีใครสนใจด้วย ทุกวันได้แต่นอนตากแดด ไล่เห่าแมว

หลังจากนั้น Ginny เริ่มทานอาหารต่อโดยอ้าปากใหญ่มากเพื่อทานไก่ ทานอย่างมูมมาม ซอสเลอะเทอะเปรอะเปรื้อน แม่จึงบอกว่า
Chew with your mouth closed.

เธอสังเกตว่าสุนัขที่บ้านเวลาิกินอาหารไม่ต้องปิดปากเคี้้ยว ไม่มีใครว่า แล้วเธอก็ประกาศว่าเธออยากเป็นสุนัขค่ะ หลังจากวันนั้นเธอก็ออกไปอยู่กับสุนัขของเธอ กิน และ นอนด้วยกัน วันหนึ่งฝนตกเธอเปียกฝนพร้อมกับสุนัขของเธอ เธอเริ่มเปลี่ยนใจอยากกลับเข้าบ้านแล้วค่ะ 

อ่านจบแล้วอย่าลืมหันไปถามเจ้าตัวเล็กที่บ้านนะคะ ว่ามีความคิดเหมือนหนูน้อย Ginny หรือเปล่า


วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

18.Life's Little Instruction Book (Volumes III)

By H.Jackson Brown,Jr.

วันนี้ขณะรอไปรษณีย์เปิด ยืนตัวแข็งหน้าชาอยู่หน้าไปรษณีย์ประมาณ 15 นาที พอ 8โมงตรง เจ้าหน้าที่ก็น่ารักค่ะ เปิดประตูทันที เล็กไม่รอช้ารีบเข้าไปขดตัวด้่านในทันที เพื่อส่งพัสดุให้ลูกค้า พอกลับมาก็ว่าจะเขียนเรื่องเบาๆซักวัน วันนี้เลยขอนำเสนอ หนังสือภาษาอังกฤษปกอ่อน เล่มเล็กๆนี้ที่เห็นอยู่หลายเ่ล่มตอนรื้อลังหนังสือ ดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ แต่ได้ลองเปิดอ่านแล้วก็เห็นว่าดี มีข้อเตือนใจ และข้อแนะำนำอะไรหลายๆอย่างที่อ่านแล้วคิดว่าใช่เลย ไม่แปลกใจที่หนังสือชุดนี้ขายดีมากทั้งเล่มที่ 1 และ 2 มากถึง 9 ล้านเล่ม เค้าเขียนข้อความสั้นๆเกี่ยวกับการดำเินินชีวิต ที่บางครั้งเราลืมอะไรไปบางอย่าง เล็กขอดึงเอาข้อความที่โดนใจ 10 ข้อ มาฝาก จากทั้งหมด 511 ข้อ

*Say something positive as early as possible every day.

*Each  year, take a first-day-of-school photograph of your children.

*Occasionally let you children help you, even if it slows you down.

*Be happy with what you have while working for what you want.

*Remember that a grateful heart is almost always a happy one.

*Spoil your wife, not your children. (อันนี้ชอบสุดๆ)

-Remember that a minute of anger denies you sixty seconds of happiness.

*To help your children turn out well, spend twice as much time with them and half as much money.

*Ask you child to read a bedtime story to you for a change. (อันนี้ทำอยู่)

*Never make fun of people who speak broken English. 
It means they know another language.

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

17.Ernie Gets Lost

By Liza Alexander 
Illustrated by Tome Cooke
 คุณแม่หลายท่านคงกังวลหลายๆเรื่อง เวลาพาลูกไปห้างสรรพสินค้าเพื่อจับจ่ายซื้อของกัน เรื่องแรกคงหนีไม่พ้นว่ากลัวเด็กจะร้องเอาโน่นเอานี่ เรื่องที่สองรองลงมาคงเป็นเรื่องกลัวพลัดหลงกับลูกเวลาเดินดูของเพลินๆ เล็กเองนั้นเวลาพาลูกตอนเล็กๆไปเที่ยวที่มีคนเยอะๆเช่น ในห้างสรรพสินค้า งานวันเด็ก งานแสดงสินค้า ออกบู๊ทต่างๆ จะเขียนชื่อ-นามสกุล ของลูก และเบอร์โทรของเราไว้ในกระดาษใส่ไว้ในกระเป๋าลูก บางทีทำสติ๊กเกอร์ติดไว้ที่เสื้อก็มี แล้วบอกลูกว่าให้ไปหาเจ้าหน้าที่ หรือ พนักงานรักษาความปลอดภัยถ้าพลัดหลงกัน พอเห็นชื่อเรื่องของหนังสือนิทานภาษาอังกฤษเล่มนี้ถึงกับต้องรีบหยิบมาดู อยากรู้เนื้อหาข้างในว่าจะดำเนินเรื่องไปแนวทางไหน จะได้นำมาปรับใช้ด้วย แล้วก็ได้ยิ้มเพราะว่าเราก็ทำคล้ายๆกับเค้าเหมือนกัน

Ernie ได้สะสมเงินตัวเองมาเป็นอาทิตย์ เค้าต้องการจะซื้อของขวัญวันเกิดให้กับเพื่อนของเค้า จึงได้ชวน Maria เพื่อนต่างวัยของเค้าออกไปซื้อของ ที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ ขณะที่อยู่บนรถ Maria บอก Ernie ว่า
If we get separated, don't wander around.
Look for a salesperson behind a counter.
Tell her your name, and that you're lost.
And give her this card.
It has our names and address and phone number.
เมื่อไปถึงห้างสรรพสินค้าทั้งคู่ก็เดินขึ้นบันไดเลื่อนจะไปที่ชั้น 3 ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาชน Maria ทำให้ทุกอย่างในกระเป่าเธอ ตกลงที่พื้นทั้งหมด เธอและชายคนนั้นก้มลงช่วยกันเก็บของ ขณะที่ Ernie เริ่มเดินออกไปดูของที่คิดว่าเป็นของเล่น แล้วก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อสีแดงเหมือน Maria จึงตามเธอขึ้นบันไดเลื่อนไปอีก เมื่อกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปจับมือ ผู้หญิงคนนั้นหันมา จึงรู้ว่าไม่ใช่ Maria ตอนนี้ Ernie หลงทางแล้วค่ะ 

Ernie  เดินตามหาเพื่อนไปทั่วห้าง ยิ่งเดินยิ่งไม่เจอ
เพราะคนเยอะมาก เค้านั่งลงแล้วร้องไห้ และแล้วก็นึกถึงคำพูดของ Maria
ได้จึงล้วงมือ่เข้าไปเจอกระดาษแผ่นหนึ่ง
เค้ารีบเดินไปที่เคาน์เตอร์แล้วยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้ผู้หญิงคนหนึ่ง
ซึ่งเธอก็ช่วยประกาศตามหาเพื่อนของเค้าให้

Maria รีบเดินกลับมาหา Ernie แล้วกอดเค้าไว้
(ช่วงนี้คุณลูกเธอเข้าถึงนิทานมากค่ะ รีบเข้ามากอดเราไว้เหมือนเป็น Ernie ซะเอง)
 Ernie เช็ดน้ำตาแล้วรีบบอกว่าได้ทำตามที่ Maria บอกไว้ทุกอย่าง
ทั้งสองขอบคุณพนักงานหญิงแล้วก็ไปช๊อปปิ้งซื้อของขวัญต่อ

นิทานเรื่องนี้ทำให้หันกลับมามองตัวเองและคิดว่า 
การมีลูกทำให้เราคิดถึงคนอื่นมากขึ้น
มีความรอบคอบมากขึ้น คิดอะไรไปข้างหน้ามากขึ้น
เพราะอะไรที่เกี่ยวกับลูก เราไม่สามารถพลาดได้ 
เพราะว่าพลาดขึ้นมาไม่มีอะไรหวนคืนกลับมา

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

16.Once Upon a Potty

By Alona Frankel
 หวนกลับไปคิดถึงตอนลูกเป็นเด็ก ใช้ผ้าอ้อมจนซักกันไม่ไหว เปลี่ยนเป็นแพมเพิร์ธ ซื้อกันจนเป็นกิจวัตรกว่าจะสามารถเปลี่ยน ให้ลูกหัดใช้กระโถน และก็นำมาสู่การนั่งชักโครกตามปกติ ใครที่กำลังหัดให้ลูกใช้กระโถน ไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะกับหนังสือนิทานภาษาอังกฤษเล่มนี้ พิมพ์เมื่อปี 1975 แต่เริ่มที่เด็กผู้ชาย ต่อมามีการพิมพ์ใหม่เป็นเวอร์ชั่นเด็กผู้หญิง และถูกแปลไปหลายภาษา พร้อมทั้งมีการทำเป็นการ์ตูน และออดิโอ 

เริ่มแรกแนะนำเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อว่า Prudence 
ซึ่งมีหัว ตา ปาก มือ ขา ก้น เหมือนอย่างเราๆ 
(ช่วงนี้เราก็ให้เด็กๆได้เรียนรู้อวัยวะไปในตัวได้เลยค่ะ) 

เด็กน้อยถ่ายทั้งปัสสาวะและอุจจาระลงในผ้า้อ้อมตั้งแต่อายุ 2 วัน 
และคุณแม่ก็เปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็กน้อยมาโดยตลอด 
จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายได้ซื้อของขวัญกล่องใหญ่ให้เด็กน้อย 
มันคือกระโถน เด็กน้อยนั่งลงในกระโถนแต่ว่าไม่มีอะไรออกมา 

จนวันหนึ่งเธอก็ประสบความสำเร็จในการใช้กระโถนค่ะ 
เธอนำไปให้แม่ดู แม่กล่าวชมเชย 
และพาเธอไปที่ห้องน้ำเพื่อเทลงในโถส้วม เธอก็พูดว่า
Bye-bye ,Wee-Wee
Bye-bye, Poo-Poo
said Prudence.
หลังจากนั้นเธอก็มีความสุขในการนั่งถ่ายในกระโถน


วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

15.Martha Speaks (สุนัขพูดได้)

ฺBy Susan Meddaugh

ลองนึกดูว่าถ้าสัตว์เลี้ยงที่บ้า่นของคุณสามารถพูดได้ พวกเค้าเหล่านั้นจะอยากจะพูดอะไร อยากจะบ่น หรือระบายอะไร แล้วจะพูดมากแค่ไหน นึกออกไหมคะ กลุ่มคนรักสัตว์คงบอกว่าวิเศษไปเลย เพราะว่าอยากจะคุยกับพวกมันมานานแล้ว แต่ถ้าสัตว์เลี้ยงของคุณพูดไม่หยุด พูดมากไป พูดทุกเรื่องที่คิดและที่เห็น จะเกิดอะไรขึ้นคะ หนังสือนิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้พิมพ์เมื่อปี คศ.1992 รวม 22 ปี มาแล้วและทำเป็นการ์ตูนซีรีย์ในปีเดียวกัน ลูกสาวเองรู้จัีกการ์ตูนเรื่องนี้ก่อนที่จะเจอหนังสือ พอเห็นหนังสือก็จำได้ทันที เมื่ออ่านแล้วทำให้ได้รู้ประวัติก่อนที่สุนัขตัวนี้จะพูดได้ เนื้อเรื่องเกิดในครอบครัวหนึ่งที่มีเด็กหญิงอายุ 10ปี เป็นผู้เลี้ยงและให้อาหารสุนัขพูดได้ตัวนี้

วันหนึ่ง Helen ให้อาหารสุนัขชื่อ Martha  เป็นซุปตัวอักษรภาษาอังกฤษ 
แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เจ้า Martha สามารถพูดได้ 
ทุกคนในครอบครัวมีคำถามมาพูดคุยกับเจ้าสุนัขมากมาย 

แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่มีปัญหาคือ Martha พูดทุกอย่างที่คิด 
ไม่มีอะไรขัดขวางเธอได้ บางครั้งก็พูดแล้วทำให้แม่ขายหน้า 
บางครั้งชอบพูดตอนที่ครอบครัวกำลังดูทีวี หรือกำัลังอ่านหนังสืออยู่ 
จนในที่สุดทุกคนในครอบครัวทนไม่ไหวกับพฤติกรรมนี้ 
จึงบอกว่า 
Martha, please !
SHUT UP!

หลังจากนั้น Martha ก็ไม่พูดอีกเลย เธอ"งอน" ค่ะ 
ไม่ทานข้าว ไม่ออกไปเที่ยว ได้แต่นอนอยู่ใต้โต๊ะ 
เมื่อ Helen นำซุปตัวอักษรมาให้ทาน Martha ก็ไม่ยอมทาน
 เธอไม่เจริญอาหารเอาซะเลยค่ะ 
จนเย็นวันหนึ่งเมื่อทุกคนในครอบครัวออกไปข้างนอก 
Martha ได้ยินเสียงขโมย เธอจึงย่องไปโทรศัพท์ เพื่อจะโทรหาำตำรวจ
 (ที่บ้านสอนไว้) แต่ว่าเมื่อจะพูดเธอกลับพูดไม่เป็นภาษาคนซะแล้ว
 เพราะว่าเธอไม่ได้ทานอาหารเย็นซุปตัวอักษร เธอจึงเห่าเพื่อไล่ขโมย
 แต่ขโมยไม่กลัวค่ะ แล้วขโมยก็หันไปเห็นซุปตั้งอยู่ก็เลยเอาให้ Martha เพื่อปิดปากซะ 
แต่กลับทำให้ตัวเองโดนตำรวจจับซะเอง

เมื่อทุกคนในครอบครัวกลับมาบ้านก็งงว่าทำไมทั้งตำรวจและโจรอยู่ที่บ้าน 
ตำรวจบอกว่าก็คนที่้บ้านของคุณเป็นคนแจ้งว่ามีโจรเข้าบ้าน 
เค้าเป็นผู้หญิงชื่อว่า Martha



วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

14.Stone Soup (คำพูดเปลี่ยนเรื่องราว)

By Ann McGovern
Pictures By Winslow Pinney Pels
 เคยได้ยินนิทานเรื่องนี้มานาน แต่ยังไม่เคยได้ครอบครองหนังสือซักครั้ง วันนี้ได้เห็นแล้วรีบหยิบมาอ่านเลยค่ะ นิทานเก่าแก่ที่ได้รับรางวัล Caldecott Medal เมื่อปี คศ.1947 หลังจากนิทานได้รับรางวัลก็มีผู้นำมาปรับปรุง เปลี่ยนแปลงเนื้อหาให้เหมาะกับแต่ละประเทศมากมาย แต่ยังคงเนื้อหาหลักๆไว้อย่างเดิม เล่มที่เล็กมีนี้พิมพ์เมื่อปี คศ.1986

ผู้ชายคนหนึ่งเดินทางมาไกล เค้าเหนื่อยและหิวมาก 
แล้วก็มาเจอบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง เค้าคาดหวังว่า
คงจะมีอาหารให้เค้ารับประทานมากมาย 
แล้วหญิงชราคนหนึ่งก็มาเปิดประตู บอกว่าไม่มีอะไรจะให้ทาน 
ชายหนุ่มรีบบอกว่าขอแค่ "ก้อนหิน" ก้อนเดียวก็พอ  
เค้าจะทำซุปก้อนหิน หญิงชราแปลกใจมาก 
ไม่เคยได้ยินว่าก้อนหินนำมาทำซุปได้ด้วย

ชายหนุ่มจึงขอให้หญิงชรานำน้ำใส่หม้อแล้วต้มบนเตา
เมื่อน้ำเริ่มเดือด ชายหนุ่มบอกว่าซุปจะเสร็จเราถ้าใส่หัวหอม
หญิงชราก็ทำตาม แล้วหญิงชราก็บอกว่ากลิ่นหอมดี
ชายหนุ่มได้ที รีบบอกว่าจะยิ่งหอมมากขึ้นถ้าใส่แครอท
หญิงชราก็ทำตาม แล้วหญิงชราก็บอกว่ารสชาดน่าจะดี
ชายหนุ่มได้ที รีบบอกว่าจะยิ่งดีถ้าใส่กระดูกวัวลงไปด้วย
แ้ล้วเรื่องก็ดำเนินแบบนี้ไปเรื่อยๆ หญิงชราถูกหลอกให้
ใส่ พริกไทย เกลือ เนย ข้าวบาร์เล่ย์ จนซุปเสร็จเรียบร้อย

หญิงชรารีบหยิบจานชามที่ดีที่สุดออกมา ปูผ้าปูโต๊ะใหม่
และนั่งทานซุปกับชายหนุ่มอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ขอตัวกลับโดยไม่ลืมหยิบ
ก้อนหินกลับไปด้วย ทำให้หญิงชราแปลกใจและถามเค้า
ชายหนุ่มก็ยังหลอกหญิงชราจนวินาทีสุดท้ายว่า
Well,said the young man,
The stone is no cooked enough.
I will have to cook it some more tomorrow.
แล้วก็เดินกระหยิ่มยิ้มย่องออกจากบ้านหญิงชรา
โดยทิ้งท้ายเรื่องไว้ว่า 
"พรุ่งนี้จะทานอะไรดี"
"ซุปจากก้อนหิน" 
ท่าจะดี

เมื่ออ่านจบทำให้นึกถึงสำนวนสุภาษิตไทยว่า
"พูดดีเป็นศรีแก่ปาก"
"คำพูดเป็นนายกายเป็นบ่าว"
คำพูดที่ออกจากปากเราไปสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องราวต่างๆได้มากมาย