วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

46.Owen (หนูน้อยติดผ้าห่ม)

By Kevin Henkes
หลังจากอ่านนิทานภาษาอังกฤษเล่มนี้แล้วทำให้นึกถึงตอนลูกเป็นเด็กๆ ไม่ใช่เพราะว่าลูกมีพฤติกรรมเหมือนในนิทานเล่มนี้ แต่เพราะว่าลูกไม่มีพฤติกรรมแบบนี้เลยต่างหาก เค้าไม่มีตุ๊กตาที่ชอบมากเป็นพิเศษ ไม่มีผ้าห่มที่คุ้นเคย (เพราะว่าไม่ชอบห่มผ้า) เลยทำให้คิดว่าทำไมเด็กๆถึงติดผ้าห่ม เคยได้ยินมาเยอะว่าเด็กๆมักจะมีตุ๊กตาที่ชอบ ผ้าห่มที่ใช่ ที่ไม่ยอมให้คุณแม่ทั้งหลายแตะต้องเอาไปซัก หรือ ทิ้งไป มาตามอ่านกันดูว่าคุณแม่จะทำอย่างไรเมื่อลูกจะเิริ่มเข้าโรงเรียน

Owen มีผ้าห่มสีเหลืองเยินๆผืนหนึ่งซึ่งใช้มาตั้งแต่เด็ก และ รักมันมาก เอาติดตัวไปทุกที่ ทั้งตอนอาบน้ำ ทานอาหาร ไปเที่ยว เล่นนอกบ้าน

เมื่อมีเพื่อนข้างบ้านบอกว่าเค้าโตเกินไปที่จะพกผ้าห่มติดตัวแล้ว คุณแม่ของเค้าก็เริ่มใช้อุบายตามที่เพื่อนข้างบ้านแนะนำ ทั้งบอกว่านางฟ้าจะมาเอาไปผ้าห่มไปแล้วจะให้ของขวัญแทน แต่เค้าก็เอาผ้าห่มไปซ่อนก่อน นอกจากนั้นพ่อแม่ก็เอาผ้าห่มไปจุ่มน้ำส้มสายชู แต่เค้าก็แก้ปัญหาผ่านไปไ้ด้

เมื่อถึงเวลาที่ Owen จะต้องไปโรงเรียน เพื่อนข้างบ้านแนะนำว่าต้องใช้วิธีปฎิเสธลูกบ้าง พ่อกับแม่จึงห้ามไม่ให้เค้าเอาผ้าห่มไปโรงเรียน เค้าเลยร้องไห้ไม่หยุด ในที่สุดแม่ก็คิดทางออกที่ดีที่สุดที่เหมาะสมกับเค้า โดยเอาผ้าห่มมาตัดและเย็บเป็นผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กๆ ซึ่งเค้าสามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่

อ่านจบแล้วทำให้ได้ข้อคิดอีกอย่างหนึ่งคือ คำแนะนำเรื่องการเลี้ยงลูกของแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน ถ้าเรารับฟังคำแนะำนำนั้นแล้วนำมาใช้กับลูกเรา อาจจะได้ผลไม่เหมือนกัน ควรจะหาทางที่เหมาะสมกับลูกของเรามากที่สุด เพราะว่าแม่รู้ใจลูกที่สุดแล้วค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

45.What if the shark wears tennis shoes?

By Winifred Morris
Illustrated by Betsy Lewin
ช่วงนี้ที่หน้าเวปจะดูเงียบๆไปนิดหนึ่งค่ะ เพราะว่ามีภาระกิจออกบู้ทนอกสถานที่ต่อเนื่องหลายแห่ง ระหว่างออกบู้ทก็ไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือที่สะดุดตามานั่งอ่าน นิทานภาษาอังกฤษเล่มนี้แสดงให้เห็นถึงจินตนาการที่กว้างไกลของเด็กชายก่อนที่จะนอน เค้ากลัวว่าฉลามที่ดุร้ายจะมาหา เด็กๆบางคนกลัวที่จะนอนคนเดียว กลัวความมืด จึงทำให้จินตนาการไปมากมาย มาดูกันว่าฉลามจะมาจริงหรือเปล่า

Stephen แปรงฟัน สวมชุดนอน แต่ว่ายังไม่ยอมเข้านอน เมื่อคุณแม่เข้ามาจูบราตรีสวัสดิ์ เด็กชายก็ยังไม่อยากให้แม่ออกไป เค้าตั้งคำถามแม่ว่า
What if a shark comes?
What if he eats me?

แม่รีบปลอบว่าเป็นไปไม่ได้ ฉลามอยู่ในทะเลไม่มีทางจะขึ้นบกมาที่บ้านได้ เด็กชายถามต่อไปอีกโดยใช้ประโยค What if เรื่อยๆ ตั้งแต่ถ้าฉลามขโมยรถยนต์ขับมาที่บ้าน แม่บอกว่าฉลามคงไม่รู้จักทาง เด็กชายถามต่อไปอีกว่า ถ้าฉลามรู้จักใช้เข็มทิศและแผนที่มาที่บ้าน และ ปีนขึ้นมา แม่บอกว่าเราก็คงได้ยินมันแน่ๆ เด็กชายไม่ยอมแพ้บอกว่า ถ้าฉลามมันใส่รองเท้าเทนนิส แล้วเดินเงียบๆเข้ามาในบ้าน เราจะทำอย่างไร

ในที่สุดแม่ก็ทนไม่ไหว กล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วออกจากห้องไป และแล้วเจ้าฉลามก็เข้ามาในห้องจะกินเด็กชาย แต่ว่าเด็กชายมีไหวพริบต่อรองว่าจะเอาซีเีรียลซึ่งอร่อยและย่อยง่ายกว่าให้กิน แล้วพาเจ้าฉลามไปที่ห้องครัว กินจนหมดเกลี้ยง ตอนเช้าตื่นมาแม่ตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กชายก็บอกแม่ว่าฉลามมาที่บ้าน

เล็กเปิดดูหน้าสุดท้าย จะดูว่าจะมีเนื้อเรื่องอะไรต่อไป แต่ปรากฎว่าไม่ได้มีเนื้อเรื่องอะไรในหน้าสุดท้าย มีแต่รอยรองเท้าบนพื้นห้องครัว ทิ้งไว้เป็นปมปริศนาให้เด็กๆได้คิดว่า ตกลงฉลามมาที่บ้านหรือเปล่า                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

44.101 Ways to be a Special Mom

By Vicki Lansky
ส่วนมากถ้าเล็กเจอหนังสือเกี่ยวกับพวกคำแนะนำต่างๆ จะชอบหยิบเอามาอ่านค่ะ รู้สึกว่าอ่านง่ายดี เล่มเล็กๆ ไม่ยาวมาก และสามารถเป็นไกด์ให้เราได้ บางครั้งเราลืมอะไรไปบางอย่าง เมื่อได้อ่านแล้วก็ทำให้อยากลองทำอะไรใหม่ๆตามคำแนะนำนั้น เล่มนี้เีกี่ยวกับการเป็น "แม่"

คงไม่ได้เป็นเรื่องน่าอับอาย ขายหน้า หรือ รู้สึกแย่แต่อย่างไร ถ้าแม่จะพูดขอโทษกับลูก

เล่าเรื่องของเราตอนเด็กๆให้ลูกฟัง เด็กๆคงสนุกตื่นเต้นไปกับประสบการณ์ของเรา

**After wrapping your child in a towel following a bath or shower, add a towel hug as part of the drying process.
**Hold hands when going for a walk even when safety in no longer a concern.
**Let your child turn the pages of the book or magazine you are reading together. When he's old enough, let him read each chapter tetle or especially funny bits of dialogue.
**Leave love notes before you go off on a business trip and send mail while away.


วันอาทิตย์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

43.The Teacher from the Black Lagoon

By Mike Thaler
Pictures by Jared Lee
ไอสไตน์บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ "Imagination is more important than knowledge" ประโยคนี้นึกขึ้นมาได้หลังอ่านนิทานภาษาอังกฤษเล่มนี้จบ ผู้เขียนจำลองตัวเองเป็นเด็กนักเรียนและใส่จินตนาการของเด็กวัยนี้เข้าไปเกี่ยวกับครูที่โรงเรียน เมื่อวาดรูปออกมาสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดได้อย่างน่าสนใจ น่าทึ่ง และ น่าหัวเราะ ผู้เขียนได้รับรางวัลจากการเขียนหนังสือมากมาย และเล่มนี้ก็เป็นหนึ่งในซีรีย์ Black Lagoon 45 เล่มที่ได้รับรางวัลอีกด้วย

เด็กชายคนหนึ่งเค้าสงสัยว่าวันแรกที่ไปโรงเรียน เค้าจะเจอครูแบบไหน เค้านั่งหลับตาที่โต๊ะแล้วก็เจอกับ Mrs.Green ตัวเขียวจริงๆ ปากยาว หางยาว ใช้กงเล็บเขียนชื่อตัวเองบนกระดานดำ 

เพื่อนของเค้าขว้างบางอย่างเข้าไป ก็โดนครูพ่นไฟจนกลายเป็นเ้ถ้าถ่าน ครูให้การบ้านวันแรกเป็นคณิตศาสตร์ 200 หน้า เกี่ยวกับเศษส่วน เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าไม่เคยเรียนเกี่ยวกับเศษส่วนมาก่อน ก็โดนครูกินเ้ข้าไปทั้งตัว

เมื่อครูบอกว่าให้ถึงเวลาพักนอนกลางวัน เค้ารีบก้มหัวลงนอนบนโต๊ะ เมื่อเสียงกระดิ่งดังขึ้น เค้าเปิดตาขึ้นมาก็พบกับคุณครูแสนสวย เค้ารีบวิ่งเข้าไปกอดคุณครู

อ่านจบแล้วก็ได้หัวเราะกับจินตนาการอันเหนือความคาดหมายของเด็กตัวเล็กๆและผู้แต่ง 
ตอนแรกก็ไม่ได้สนจะอ่านเพราะว่าเหมือนจะดูน่ากลัว แต่เห็นว่าทำไมเจอหนังสือชุดนี้หลายเล่มเหลือเกิน มันต้องมีอะไรดีแน่ๆ จึงหยิบมาอ่านแล้วก็ไม่แปลกใจค่ะ เด็กๆสนุกกับจินตนาการที่ผู้แต่งป้อนให้ค่ะ

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

42.We Eat Dinner in the Bathtub

By Angela Shelf Medearis
Illustrated by Jacqueline Rogers
วันนี้ขณะออกไปปฎิบัติหน้าที่ขายหนังสือนอกสถานที่ ได้เห็นนิทานเล่มนี้ตอนที่หยิบเรียงหนังสือ รีบดึงออกมาดู สะดุดตากับชื่อเรื่องที่แปลกไม่มีใครเหมือน นอกจากนั้นรูปภาพที่หน้าปกก็ตลกดี คิดในใจว่าลูกต้องชอบแน่ๆ เล่มนี้เป็นปกอ่อนสำหรับเด็กหัดอ่านระดับ2 (อนุบาล-ประถม2) ซึ่งใช้คำง่ายๆไม่ยาวนัก พออ่านให้ลูกฟัง ลูกก็หัวเราะตามไปด้วย เนื้อเรื่องดำเนินวนกลับมาที่เดิม และตอนท้ายหนังสือผู้แต่งยังทิ้งประโยคกวนๆไว้ให้ได้ขำอีกต่างหาก

เรื่องเริ่มต้นด้วยเด็กชาย 2 คนที่เป็นเพื่อนกันคุยกัน ชวนกันไปทานอาหารเย็นที่บ้าน โดย Harris บอกว่าที่บ้านเค้ารับประทานอาหารเย็นกันในอ่างอาบน้ำ เพื่อนก็เลยถามต่อไปว่าทำไมไม่ทานในห้องอาหาร เค้าก็เลยตอบว่า ครอบครัวของเค้านอนในห้องอาหาร

เพื่อนถามต่อไปว่าไม่มีห้องนอนใช่ไหม เค้าตอบว่าเค้าทำอาหารในห้องนอน เพราะว่าห้องครัวไม่ว่างเนื่องจากเป็นที่จอดรถ ส่วนที่จอดรถก็เอาไว้ให้สุนัขนอน เนื่องจากสวนหลังบ้านไม่ว่าง เพราะเอาไว้เก็บของ และไม่สามารถย้ายของไปที่ห้องใต้หลังคาได้เนื่องจากต้องอาบน้ำในห้องใต้หลังคา แล้วเพื่อนก็วนกลับมาถามว่าทำไมไม่อาบน้ำในห้องน้ำ เค้าก็เลยบอกว่า
I told you!
We eat dinner in the bathtub.
Do you want to eat with me or not?

เพื่อนก็บอกว่าเดี๋ยวขอโทรถามแม่ก่อนเพราะว่าวันนี้เป็นเวรจัดโต๊ะอาหาร เค้าแปลกใจมากที่เพื่อนทานอาหารในห้องรับประทานอาหาร....ช่างแตกต่างจากเค้าจริงๆ


วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

41.Ibis (เีิรื่องจริงของวาฬน้อย)

By John Himmelman
 "มนุษย์" มีทั้งคนดี และคนไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าเราจะได้เจอคนแบบไหน ถ้าโชคดีได้เจอคนดีๆเราก็คงรู้สึกดี แต่ถ้าโชคร้ายเจอคนไม่ดี เราก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้นด้วย ขึ้นต้นวันนี้ดูแรงไปไหมคะ ไม่ได้จะเข้าเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองเลยค่ะ พอดีอ่านนิทานเล่มนี้แล้วทำให้ได้ข้อคิดแบบนี้ นิทานภาษาอังกฤษเรื่องนี้แต่งมาจากเรื่องจริงของวาฬน้อยที่โชคร้ายผสมกับโชคดีในตอนสุดท้าย

ที่อ่าวลึกแถบชายฝั่งทะเลแห่งหนึ่ง มีฝูงวาฬหลังค่อมอาศัยอยู่ มีวาฬน้อยอยู่ตัวหนึ่งชื่อว่า Ibis มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น และชอบปลาดาวเป็นชีิวิตจิตใจ มันมีเพื่อนสนิทชื่อว่า Blizzard ชอบว่ายน้ำเล่นด้วยกัน เจ้าวาฬน้อยเริ่มคุ้นเคยกับการว่ายขึ้นไปเล่นกับเรือที่จอดอยู่บนผิวน้ำ

วันหนึ่งมันเห็นว่าด้านบนที่เรือจอดอยู่มีปลามากมายว่ายล้อมอยู่เต็มไปหมด มันเกิดความสงสัยจึงรีบว่ายเข้าไปดู ปราำกฎว่าถูกจับติดแห มันพยายามดิ้นจนแหขาด แต่ว่าแหบางส่วนก็มัดปากและหางของมันทำให้ไม่สามารถกินอาหารได้มาก และไม่สามารถขึ้นไปบนผิวน้ำเพื่อหายใจได้สะดวก จนมันอ่อนแอลง

เพื่อนของมันช่วยดันมันขึ้นไปที่ผิวน้ำจนได้เจอเรื่อที่มีคนอยู่หลายคน คนพวกนั้นช่วยกันเอาทุ่นวางรอบตัวมันทำให้มันดำน้ำหนีไม่ได้ และแล้วก็มีมือยื่นลงมาในน้ำเป็นรูปคล้ายปลาดาวที่มันชอบ ช่วยกันแก้และดึงแหที่ผูกติดที่ปากและหางของมันออกทั้งหมด ตอนนี้มันเป็นอิสระแล้ว มันดีใจมาก ที่สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้งหนึ่ง

ได้อ่านด้านหลังเล่มนิทาน ผู้เขียนเล่าถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ที่เค้าได้รับรู้จากนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลที่เมือง  Massachusetts ในปี 1985 แล้วทำให้นิทานที่อ่านจบดูมีที่มาและภูมิใจที่ได้เห็นหนังสือนิทานเล่มนี้เนื่องจากผู้เขียนบอกว่ากำไรจากการขายหนังสือส่วนหนึ่งจะสมทบเข้ากองทุน Provincetown Center of Coastal Studies

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

40.Edward the EMU (อยากเป็นเหมือนคนอื่น)

By Sheena Knowles 
Illustrated by Rod Clement
 นิทานภาษาอังกฤษปกสีหม่นๆเล่มนี้ ดูหน้าปกแล้วไม่น่าหยิบขึ้นมาอ่านเท่าไร เพราะว่าไม่ค่อยดึงดูดสายตา มีแค่นกอีมูนอนอยู่ที่หน้าปกเท่านั้น แต่เมื่อเปิดเข้าไปด้านใน ได้ดูการวาดรูปที่สวย ดูคม สื่ออารมณ์ บางรูปสามารถทำให้หัวเราะได้ พร้อมกับเนื้อหาที่สอนใจแฝงอยู่ในนี้เต็มเปี่ยม นอกจากนั้นยังแต่งเนื้อหาได้ดีมีคำพร้องเสียง อ่านแล้วได้จังหวะค่ะ

พวกเราทุกคนคงเีคยเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น อยากเป็นอย่างเค้า อยากมีอย่างเค้า บางคนพยายามแล้วแต่ก็ไม่สามารถทำให้เหมือนหรือเป็นอย่างคนอื่นๆได้ หรือบางคนได้แต่คิดไม่ได้ลงมือทำ นิทานเรื่องนี้ทำให้ได้มองว่าเจ้านกอีมูตัวนี้อย่างน้อยก็ได้ลงมือทำตามที่คิด แต่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ มาลองติดตามดูค่ะ

Edward นกอีมูตัวนี้รู้สึกเบื่อที่จะต้องอยู่ในสวนสัตว์ เพราะว่าไม่มีอะไรให้ทำ ไม่สามารถไปไหนได้ มันจึงเรื่องเปรียบเทียบตัวเองกับเจ้าแมวน้ำ แล้วคืนนั้นมันก็กระโดดออกจากกรงของมันไปว่ายน้ำเล่นที่กรงของแมวน้ำ ตอนเช้ามันได้ยินผู้เข้าชมสวนสัตว์บอกว่า
The seals are always amusing, it's true,
But the lion's the best thing to see at the zoo.
มันก็เปลี่ยนความคิดทันทีว่าพรุ่งนี้มันจะเป็นสิงโต

วันรุ่งขึ้นมันก็ไปคำรามใส่ผู้คนที่มาเที่ยวสวนสัตว์ เหมือนสิงโต นอนบนต้นไม้เหมือนสิงโต จนมันได้ยินคนพูดว่างูน่าสนใจกว่า มันก็เปลี่ยนใจอีก ไปอยู่กับงู ทำทุกอย่างเหมือนงู

จนในที่สุดมันก็ได้ยินคนบอกว่านกอีมูน่าสนใจที่สุด มันก็เลยคิดขึ้นได้ว่าจะกลับไปเป็นตัวเอง เมื่อกลับไปมันเจออะไร มันคงไม่เหงาอีกต่อไปแล้วค่ะ ลองดูกันค่ะ

เล็กว่านอกจากมุมมองเรื่องของการเปรียบเทียบแล้ว เล็กว่าเรื่องความมั่นใจในตัวเองก็คงเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อสารให้เราเข้าใจ อ่านจบแล้วลองถามลูกดูซิคะว่าได้ข้อคิดอะไรจากหนังสือนี้บ้าง


วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

39.Volunteer of the Year

By Marc Brown 
การทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน ทำแล้วให้ความรู้สึกที่ดี มีความสุขมากกว่าผู้ที่ทำแล้วหวังผลตอบแทน นี่เป็นหนึ่งในข้อคิดดีๆ ที่ได้จากนิทานเรื่องนี้ นิทานในชุด Arthur ให้แนวคิดดีๆแฝงอยู่ในหนังสือทุกเรื่อง เพื่อนแต่ละคนก็มีลักษณะนิสัยแตกต่างกันไป ประกอบเป็นเรื่องราวที่น่าติดตามเสมอ

วันหนึ่งเพื่อนๆบอก Arthur เกี่ยวกับรางวัล The Senior Center's Junior Volunteer of the Year Award เพื่อนคนหนึ่งของเค้าที่ชื่อ Muffy บอกว่าจะคว้ารางวัลนี้มาให้ได้ เธอเริ่มต้นโดยการสั่งซื้อต้นไม้ไปให้ที่ศูนย์ พร้อมกับซื้อของต่างๆนาๆ ไปให้ ส่วน Arthur ได้ไปที่ศูนย์เพื่อช่วยปลูกต้นไม้ และช่วยเหลืองานต่างๆ

เมื่อที่ศูนย์จัดงานขายของ เธอก็มากวาดซื้อของที่ระลึกไป ส่วน Arthur ช่วยงานที่ศูนย์ ตอนหน้าหนาวเธอสั่งซื้อขนมไปแจกที่ศูนย์ ส่วน Arthur ช่วยตักหิมะเคลียร์พื้นที่ทางเข้าศูนย์ แล้วนั่งเล่นเกมกับทุกคน

เมื่อวันประกาศผลรางวัล Muffy เตรียมแต่งตัวสวย เธอมั่นใจว่าเธอจะต้องได้รับเลือกให้ได้รับรางวัลนี้แน่นอน แต่ผลกลับกลายเป็น Arthur

อ่านจบแล้วก็นั่งคิดต่อว่า Muffy จะรู้สึกตัวบ้างหรือเปล่าว่าการใช้เงินซื้อทุกอย่าง มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ทุกคนพอใจหรือชอบใจ เงินไม่สามารถซื้อใจได้ อย่าลืมสอนเด็กๆกันนะคะ

วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

38.The Valentine Bears (ฉลองวาเลนไทน์)

By Eve Bunting
Pictures by Jan Brett
สุขสันต์วันวาเลนไทน์ 2014 ถ้าวันนี้ไม่พูดถึงวันแห่งความรักก็คงจะเชยเกินไปหน่อย เล็กเลยเอานิทานเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์น่ารักๆมารีวิวให้อ่านกันค่ะ เรื่องนี้นอกจากจะเห็นความรัก ความอบอุ่นของคู่รักหมีทั้งสองแล้ว เรายังได้ความรู้เพิ่มเติมเอาไว้คุยกับลูกเรื่องพฤติกรรมจำศีลของหมีในช่วงฤดูหนาว และมักจะตื่นมาในฤดูใบไม้ผลิซึ่งจะเลยช่วงวันวาเลนไทน์ไปแล้ว มาดูกันซิคะว่าหมีคู่นี้จะตื่นทันฉลองวันวาเลนไทน์หรือเปล่า

Mr.Bear และ Mrs.Bear เข้าจำศีลตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม และตั้งนาฬิกาปลุกไว้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของปีัถัดไป เมื่อหมีสาวตื่นขึ้นมาก็จำได้ว่าตั้งนาฬิกาไว้ก่อนกำหนดครบการจำศีล เพราะว่าตั้งใจจะฉลองวันวาเลนไทน์กับแฟนหนุ่ม

เธอเขียนป้ายวาเลนไทน์ให้กับแฟนหนุ่ม โดยติดไ้ว้ที่กำแพงเพื่อว่าหมีหนุ่มตื่นขึ้นมาจะได้เห็นทันที นอกจากนั้นยังหยิบเอาการ์ดที่เคยทำไว้ออกมาวางไว้ข้างๆกับของว่างที่เตรียมไว้ฉลองกัน คือ น้ำผึ้ง แมลงปีกแข็ง ด้วง

แต่เมื่อเข้าไปปลุกหมีหนุ่มก็ไม่ยอมตื่นซักที เธอเลยวางแผนสุดท้าย ออกไปตักน้ำแข็งตั้งใจจะมาราดใส่พ่อหมีหนุ่ม แต่ไม่ทันไร หมีหนุ่มก็ตื่นขึ้นมาทำให้ประหลาดใจ และทั้งสองก็ฉลองวันวาเลนไทน์กันอย่างมีความสุข

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

37.Lettice (กระต่ายน้อยมีฝัน)

By Mandy Stanley

ติดใจรูปกระต่ายน่ารักๆบนปกจึงหยิบมาดู พออ่านเนื้อหาข้างในแล้วก็รู้ว่าได้ให้คติสอนใจหลายอย่างกับเด็กๆ วันนี้เลยขอนำเอามารีวิวนะคะ เรื่องนี้ได้ให้แง่คิดเรื่องความฝันค่ะ ถ้าเรามีความฝันแล้วเราตั้งใจ ไม่ย่อท้อ เราก็จะสามารถคว้ามันมาได้สำเร็จ และไม่น่าเชื่อว่าเราสามารถจะทำได้ นอกจากนั้นก็ยังทิ้งท้ายไว้น่าสนใจอีกด้วยค่ะ





Lettice กระ่ต่ายน้อยอาศัยอยู่กับครอบครัวบนยอดเขา วันหนึ่งเธอเห็นป้ายประกาศติดบนต้นไม้ เธอรู้ทันทีว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องการ เธอเข้าไปในเมืองเพื่อตามฝัน โดยไปซื้อชุดบัลเล่ต์มาใ่ส่แล้วเรียนบัลเล่ต์ ฝึกฝนอย่างหนัก









จนในที่สุดเธอได้รับบทนำในการแสดงอาทิตย์หน้า ครอบครัวของเธอมาดูการแสดง และภาคภูมิใจในตัวเธอมาก







วันต่อมาครอบครัวของเธอ ช่วยกันเก็บแอ๊ปเปิ้ล, ผักกาด,แครอท เพื่อไปปิคนิค พี่ชายและพี่สาวของเธอบอกพ่อกับแม่ว่า Lettice คงไม่ต้องการไปด้วย เพราะว่าเธอเป็นดาราแล้ว  เธอเจ็บปวดต่อคำพูดของพี่น้องมาก เธอถอดมงกุฎ ชุดบัลเลต์ ถุงน่อง รองเท้าทั้งหมดออก แล้วกระโดดตามครอบครัวไป
Lettice had found out what it felt like to be a ballerina, but she knew that being a rabbit was, by far, the very best thing in the world.

ในที่สุดครอบครัวก็สำคัญที่สุด เป็นตัวเราดีที่สุดค่ะ

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

36.Stolen Smile (ใครขโมยยิ้มไป)

By Thierry Robberecht
Illustrated by Philippe Goossens
คุณเคยสังเกตไหมว่าอารมณ์ของคนเราแต่ละช่วงเวลาของวันมีหลากหลาย บางครั้งมีความสุขก็ยิ้มหน้าบาน บางครั้งมีทุกข์หรือมีเรื่องที่คิดไม่ออกก็เศร้าหน้าบึ้งเหมือนอมทุกข์ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับใจเราว่าจะกำหนดให้เป็นอย่างไร วันนี้ขึ้นต้นมาแบบธรรมะเลยค่ะ เพราะว่าพอได้อ่านหนังสือนิทานภาษาอังกฤษเล่มนี้แล้วทำให้คิดได้

Sophie เด็กหญิงคนหนึ่งบอกว่าเธอทำ "ยิ้ม" หล่นหายไปเมื่อวานที่สนามโรงเีรียน เพื่อนๆต่างเข้ามาถามว่าเป็นอะไร โกรธอะไรใครหรือเปล่า ทำไมไม่เห็นยิ้มเลย แม่ก็บอกว่าเป็นห่วงอยากให้เธอยิ้ม พ่อก็พยายามทำตลกให้เธอยิ้มแต่เธอไม่สามารถยิ้มได้ เธอเริ่มสงสัยว่าทำไม "ต้องยิ้ม"

แล้วเธอก็นึกได้ว่า ยิ้มของเธอ อยู่ที่เพื่อนผู้ชายที่ชื่อว่า Willard เธอยิ้มให้เค้าเมื่อวันก่อน เค้าก็เลยขโมยยิ้มของเธอไป เธอจึงไปหาเค้าแล้วขอยิ้มคืน แล้วเธอก็ได้คืน  

วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

35.The Happy Lion (สิงโตผู้มีความสุข)

By Louise Fatio 
Pictures by Roger Duvoisin
 สะดุดตากับหนังสือนิทานภาษาอังกฤษเล่มสีแดงสด ปกหยาบๆ และรูปสิงโตที่มีแผงคอดำๆ เด่นๆ จึงรีบหยิบขึ้นมาดูค่ะ ไม่พลาดที่จะเปิดดูปีที่พิมพ์แล้วก็ร้อง โห... หนังสืออมตะเล่มนี้มีอายุ 60ปีแล้ว แต่ดูไม่เก่าเท่าไร กระดาษยังไม่เหลือง จะมีก็แต่กลิ่นของความขลังนิดหน่อย ซึ่งชอบมากค่ะ ผู้เขียนและผู้วาดรูปเป็นสามีภรรยาชาวสวิตเซอร์แลนด์ เล่มนี้เป็นหนังสือเล่มแรกที่ Louise Fatio เขียนและได้รับรางวัลปี 1956 Deutscher  Jugendliteraturpreis ในการแปลเป็นภาษาเยอรมัน เล็กติดใจรูปสิงโตหน้ายาวๆ พร้อมทั้งการวาดรูปที่ใช้เพียงแค่ 3 สี คือ แดง เหลือง ดำ แต่ทำได้สะดุดตาและน่ารัก นอกจากนั้นได้รอยยิ้มจากเรื่องนี้ด้วยค่ะ

มีสิงโตตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่สวนสัตว์ในเมืองของฝรั่งเศส มันจะนั่งอยู่บนหินที่ล้อมรอบด้วยน้ำอย่างมีความสุข ทุกๆเช้าลูกชายของผู้ดูแลสวนสัตว์ที่ชื่อ Francois จะหยุดทักทายและพูดสวัสดีเป็นภาษาฝรั่งเศสกับเค้าเสมอ ทั้งตอนบ่ายและตอนเย็นผู้คนต่างๆก็จะหยุดทักสวัสดีสิงโต 
Bonjour,Happy Lion

วันหนึ่ง เจ้าสิงโตเห็นว่าประตูกรงเปิดอยู่ จึงมีความคิดดีๆว่า
Maybe I will walk out myself and see my friends in town. 
It will be nice to return their visits.
จากนั้นจึงเดินออกจากสวนสัตว์ไป ระหว่างทางพบสัตว์ตัวน้อยๆ เช่น กระรอก,นก ต่างก็พูดสวัสดีสิงโตกันทุกตัว

แต่เค้าก็ต้องพบกับความแปลกใจว่าเวลาเค้าพูดสวัสดีกับผู้คน ผู้คนถึงกับต้องตกใจและวิ่งหนีเค้าไป หรือไม่ก็เป็นลม หรือขว้างสิ่งของใส่เค้า ไม่เหมือนกับตอนที่เค้าอยู่ในสวนสัตว์ แล้วก็ได้ยินเสียงรถดับเพลิง เจ้าสิงโตนั่งมองเงียบๆว่าจะเกิดอะไรขึ้น นักดับเพลิงหลายคนดึงท่อส่งน้ำใกล้เจ้าสิงโตเข้าไปทุกที
ทันใดนั้นก็มีใครบางคนอยู่ด้านหลังเจ้าสิงโต พูดขึ้นว่า สวัสดีเจ้าสิงโตผู้มีความสุข เจ้าสิงโตดีใจมาก เค้าดีใจมากที่เจอคนที่ไม่วิ่งหนีเค้า นั่นคือลูกของผู้ดูแลสวนสัตว์ แล้วทั้งคู่ก็เดินกลับไปที่สวนสัตว์ หลังจากนั้นเจ้าสิงโตก็ได้ความคิดว่าอยู่ในสวนสัตว์ดีกว่าออกไปเดินข้างนอก   

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

34.Fredrica McFroodle (ความอ่อนน้อม)

By Joanna Weaver
Illustrated by Tony Kenyon

เจอหนังสือนิทานของผู้เขียนคนนี้อีกแล้วค่ะ มีเอกลักษณ์ในเรื่องการวาดรูป และเนื้อหาที่สอนใจเรา เล็กเคยรีวิวหนังสือของ Joanna Weaver ไว้เมื่อ 27 มกราคม 2557 ลำดับที่ 23 เรื่องเกี่ยวกับการพูดเกินจริง มาคราวนี้เราจะมาดูเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นกับเด็กๆของเราก็ได้ เมื่อเค้ารู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ก็จะเกิดความภูมิใจในตัวเองมากเกินไป นำไปสู่การโอ้อวด และก็พลาดอะไรบางอย่างที่ไม่ควรพลาด

Fredrica McFroodle เป็นเด็กผู้หญิงที่เก่ง และมีความจำดี และดูจะมีความมั่นใจในตัวเองมาก ชอบโอ้อวด เวลาเธอเล่นกับเพื่อนที่โรงเรียน เธอก็มักจะเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์เกมต่างๆเสมอ เมื่อเพื่อนบอกว่าจะมีการแข่งขันการสะกดคำที่โรงเรียน เธอก็รีบบอกว่าเธอจะเอาถ้วยรางวัลมาประดับที่ผนังบ้าน เมื่อเพื่อนของเธอบอกว่าสามารถสะกดคำศัพท์นี้ได้ เธอก็อวดทับเพื่อนว่าเธอสามารถสะกดคำศัพท์ยากกว่านั้นได้

เมื่อถึงวันแข่งขันก็เหลือเธอและเพื่อนอยู่สองคนบนเวที เมื่อครูให้สะกดคำว่า Conceited เธอก็สะกดผิด เพื่อนเธอจึงได้รับรางวัล หลังจากนั้นเธอนึกขึ้นถึงคำสอนที่ว่า Pride really does lead to a fall. และคำศัพท์นั้นก็ทำให้เธอคิดได้ และไปแสดงความยินดีกับเพื่อน พร้อมทั้งขอโทษที่ผ่านมาเธอภูมิในใจตัวเองเกินไป

อ่านเรื่องนี้จบ เล็กได้คำศัพท์ยากๆนี้ไปอีกหลายคำเลยค่ะ ที่ผ่านมาไม่รู้เลย เดี๋ยวลูกกลับมาจากโรงเรียนต้องอ่านให้ฟังแล้ววิเคราะห์กันหน่อยแล้วค่ะ.