วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

8.The Tiger Who Came To Tea (จินตนาการ)

เรื่องนี้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่อ่านแล้วรู้สึกว่ามันสร้างความประทับใจ และ สร้างจินตนาการให้เด็กๆยังไงก็ไม่รู้ค่ะ  ผู้เขียนวาดภาพได้สวยสื่ออารมณ์ของเสือได้เป็นอย่างดี ดูน่ารัก น่าจับจังค่ะ

The Tiger Who came to Tea by Judith Kerr


เช้าวันหนึ่งขณะที่แม่และลูกกำลังจะทานอาหารเช้ากัน ก็มีเสียงกริ่งหน้าประตูค่ะ คุณแม่คิดเลยว่าใครนะจะมาตอนเช้าแบบนี้ คนส่งนมก็ไม่ใช่ เพราะเค้าเพิ่งมาเมื่อเช้านี้แล้ว หรือจะเป็นเด็กผู้ชายที่ร้านขายของ แต่ว่าปกติไม่ใช่วันที่เค้าจะมานี่นา หรือจะเป็นพ่อก็ไม่น่าใช่ เพราะว่าพ่อมีกุญแจบ้านนี่นา

เมื่อเปิดประตู ก็ปรากฎว่าเป็น "เสือ" บอกว่า
Excuse me ,but I'm very hungry. Do you think I could have tea with you ?
Sophie's mummy said , Of course, come in.
คุณแม่น่ารักจัง เป็นเจ้าของบ้านที่ดีจัง ถ้าเป็นเราคงปิดประตูแน่นทีเดียว แต่ก็ไม่แน่นะ เสือตัวนี้ดูน่ารัก

เจ้าเสือตัวนี้หิวมากๆ กินทุกอย่างที่เอามาเสริฟ ทั้งแซนวิช,บิสกิส,ขนมเค้ก,นม,น้ำชา,ทุกอย่างในตู้เย็น,น้ำทุกหยดในอ่างน้ำ จนไม่เหลืออะไรในบ้านเลย ดีที่ไม่กินแม่ กับ ลูก ไปด้วย แฮะ แฮะ




หลังจากเจ้าเสืออิ่มหมีพีมัน ก็ลากลับไป 

พอพ่อกลับมา ก็ไม่มีเหลืออะไรให้กินอีกแล้ว ทั้งครอบครัวจึงไปกินข้าวนอกบ้านกัน

ตอนเช้าไปซื้ออาหารตุนไว้เยอะ รวมทั้งอาหารเสือมาเก็บสต๊อกไว้ที่บ้านด้วย เผื่อว่าเจ้าเสือจะกลับมา

พล็อตเรื่องธรรมดา แต่ถ้ามองให้ดี จะเห็นว่าผู้เขียนต้องการสื่อหลายอย่าง เรื่อง การรับแขก เรื่องการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เรื่องการมองโลกในแง่ดี และการแก้ปัญหาต่างๆ อ่านจบแล้วยิ่มได้อย่างมีความสุขจริงๆ




วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556

7.Owl Babies ลูกนกฮูกหาแม่

Owl Babies by Martin Waddell, illustrated by Patrick Benson


เรื่องนี้ขาดไม่ได้ที่จะไม่พูดถึงค่ะ มาสัมผัสกับความอบอุ่นที่แฝงอยู่ในเนื้อเรื่อง และ ภาพวาดที่ดูนุ่มนวล เหมือนกับเจ้าลูกนกฮูกเป็นตุ๊กตาขนฟูๆ น่ากอด คล้ายๆหมอนข้าง ประกอบกับภาพเป็นค่ำคืนที่มืดสนิท ทำให้ลูกนกฮูกขาวๆ 3 ตัวนี้เด่นขึ้นมามากมาย

เรื่องเริ่มที่ลูกนกฮูก 3 ตัว ชื่อ Sarah , Percy and Bill อาศัยอยู่ในโพรงในต้นไม้กับแม่ 

คืนหนึ่งเจ้าสามตัวนี้ตื่นขึ้นมากแล้วพบว่าแม่หายไป ลองดูสีหน้าของเจ้าตัวเล็กที่ชื่อ Bill ดูซิคะ
Where's Mommy? asked Sarah.
Oh my Goodness! said Percy.
I want my mommy! said Bill.

ทั้งสามตัวพี่น้องช่วยกันคิดใหญ่เลยค่ะ ว่าแม่ไปไหน ตัวพี่ว่าคงไปล่าสัตว์แน่ๆ พี่รองว่าคงไปหาอาหารให้พวกเราแน่ๆ แต่ตัวน้องสุดท้องพูดอย่างเดียวเลยค่ะ I want my mommy! ซึ่งเป็นประโยคเด่นของหนังสือเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งเข้าถึงอารมณ์เด็กๆได้ดีทีเดียว และเด็กๆจะจำประโยคนี้ได้ดีค่ะ
แล้วพวกเค้าสามตัวก็ออกมานั่งรอแม่ที่กิ่งไม้ด้านนอก ระหว่างที่นั่งไป ก็พูดกันไป หาเหตุผลกันไปว่าแม่ไปไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ I want my mommy! said Bill.

หลังจากนั้นทั้งสามตัวก็ย้ายมานั่งด้วยกันที่กิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ภาพนี้น่ารักบอกไม่ถูก ดูนุ่มนวลน่ากอด ภาพแสดงถึงลูกนกฮูกดูเหงาๆ กลัวๆ เกาะกลุ่มกันแน่นเลยค่ะ
Suppose she got lost, said Sarah.
Or a fox got her! said Percy.
I want my mommy! said Bill.

เย้! ......ในที่สุด แม่ก็มาแล้ว .....
เด็กๆดีใจกระโดดตัวลอยกันใหญ่เลยค่ะ
You knew I'd come back, said their mommy.
I knew it, said Sarah.
And I knew it! said Percy.
I love my mommy! said Bill.
แหม..เปลี่ยนคำพูดซะงั้นเลยนะเจ้าตัวเล็ก

หลังจากอ่านเรื่องนี้จบกอดลูกแน่นๆให้สมกับที่คิดถึงกันนะคะ





วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

6.Tom Goes to Kindergarten

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกดีค่ะ Tom goes to Kindergarten by Margaret Wild ,David Legge


เป็นเรื่องราวของหมีแพนด้าน้อยชื่อ Tom ที่เพิ่งเริ่มไปโรงเรียนอนุบาลค่ะ ผู้เขียนแต่งเรื่องและวาดภาพได้น่ารักมากค่ะ รูปสามารถสื่อความรู้สึกได้ดีทีเดียว อ่านแล้วเหมือนว่าเป็นตัวเราและลูกอยู่ในเรื่องค่ะ เพราะว่าเหตุการณ์นี้ก็คล้ายๆจะเกิดกับลูกเรานี่นา

ครอบครัวนี้ มี 4 คนค่ะ พ่อหมีแพนด้า แม่หมี ลูกหมี 2 ตัว ตัวเอกของเรื่อง คือ Tom แม่จะพาเค้ากับน้องเดินเล่นช่วงเช้า ซึ่งจะต้องผ่านโรงเรียนทุกวัน Tom ก็จินตนาการไปว่าตัวเองจะเล่นเป็นอันนั้นอันนี้


แล้ววันหนึ่งก็มาถึง Tom โตพอที่จะไปโรงเรียนอนุบาลได้แล้วค่ะ พ่อกับแม่ ก็ไปส่งที่โรงเรียน


Tom กอดลาพ่อ จูบลาแม่ 3 ครั้ง และกอดพ่ออีกครั้ง พอพ่อกับแม่จะกลับเท่านั้นแหละค่ะ

Tom didn't want them to leave.
He grabbed his father's left leg and his mother's right leg, and wouldn't let go.

  รู้สึกคุ้นๆเหมือนลูกตัวเองเคยทำแบบนี้ยังไงก็ไม่รู้ แต่ไม่ได้เกาะขาแต่เกาะคอแน่นไม่ปล่อยต่างหาก


ครูเลยบอกว่าถ้า พ่อและแม่ จะอยู่กับลูกซักพักก็ได้นะคะ ทั้งพ่อหมีแพนด้า และ แม่หมีแพนด้าลังเลค่ะ
Er,well,Um..... ชอบจังเลยค่ะ เวลาอ่านแล้วได้อารมณ์มากค่ะ


พ่อกับแม่ก็เลยอยู่ทั้งวัน เล่นทราย,เล่นแต่งตัว,เล่นระบายสี.ฟังนิทาน,ร้องเพลงและเต้น มาดูว่าใครที่สนุกที่สุด......ถูกต้องค่ะ.... พ่อกับแม่...... นั่นเอง


วันต่อมาหลังจาก Tom กอดลาพ่อ และ จูบลาแม่ 3 ที กอดพ่ออีกครั้ง แล้วจะวิ่งเข้าห้อง พ่อกับแม่ถามว่า
Don't you want to grab my left leg? asked Tom's father.
Don't you want to grab my right leg? asked Tom's mother.
No,said Tom.
ทำไงล่ะทีนี้.....


ครูบอกว่าวันนี้จะทำหมวกทหารเรือกัน นั่นคงสนุกใช่ไหมเอ่ย ดูซิว่าใครตอบบ้างคะ 
Yes! said Tom
Yes! said his father.
Yes! said his mother.
ตอนอ่าน Yes! ให้ลูกฟัง มันสะใจดีจัง


ครูก็เลยถามพ่่อกับแม่ไปว่า ไม่ต้องไปทำงานหรือคะ ประโยคนี้ทำให้พ่อและแม่ถึงกับ "เหวอ" ทันทีเลยค่ะ ก็แหม Er,well,um...... หลังจากนั้นแม่ก็กลับไปทำงานบ้านแบบเหงาๆ พ่อกลับไปนั่งเซ็นต์เอกสารที่ออฟฟิศแบบจ๋อยๆ ซะเห็นภาพเชียวค่ะ ตกเย็นพ่อรีบบึ่งกลับบ้านแทบไม่ทัน เพราะอยากรู้ว่าวันนี้ Tom เล่นอะไรบ้างที่โรงเรียน


หนังสือเล่มนี้ได้มาตอนที่เนยอยู่ อ.3 แล้วค่ะ อ่านครั้งแรกก็ยิ้ม แหยๆ ว่าตัวเองก็เคยเป็นแบบนี้ อ่านมาเรื่อยๆ ขณะนี้อยู่ ป.2 แล้ว อ่านให้ลูกฟังแล้ว ลูกหัวเราะดังมากเลยค่ะ จะเห็นว่า เวลาผ่านไปลูกโตขึ้น ลูกก็มีความคิดที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆค่ะ   โอ้ย...พรรณามากไปค่ะ เจอกันเล่มหน้านะคะ 







วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

5.Henry's Awful Mistake เรื่องเล็กจากมด

เรื่องนี้มีต้นเหตุมาจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่เรียกว่า มด นั่นเอง ที่ทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตมากจริงๆ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วได้หัวเราะกับลูกอีกแล้วค่ะ Henry's Awful Mistake by Robert Quackenbush  ผู้เขียนเก่งจริงๆค่ะ สามารถหยิบเอาเรื่องใกล้ๆตัวแค่เรื่องมด แล้วสามารถเอามาผูกปมเพื่อแต่งหนังสือ
เ่ล่มนี้ไ้ด้สนุกมาก ที่จริงมีหนังสือของผู้เขียนคนนี้หลายเล่มค่ะ แต่เล็กชอบเล่มนี้ที่สุด

เฮนรี่เจ้าเป็ด ต้องการชวนเพื่อนชื่อ Clara มาเที่ยวที่บ้านจึงเตรียมทำอาหารต้อนรับเพื่อน ขณะที่ทำอาหารอยู่ในครัวก็เห็น มด จึงใช้กระทะตี แต่มดหนีเข้าไปในซอกกำแพง ก็เลยตามไปใช้ค้อนทุบกำแพง

เล็กค่อนข้างขำดีกับการโมโหของเจ้าเป็นเฮนรี่ แต่เนยยังไม่ขำค่ะ เค้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เจ้าเฮนรี่ทุบเข้าไปซะใหญ่ เจอท่อน้ำ จนท่อน้ำแตก น้ำกระเด็นออกมาเต็มครัวเลยค่ะ เจ้าเฮนรี่จึงได้เอาผ้าผูกกับท่อไว้ชั่วคราว เฮ้อ! โชคดีที่กับข้าวที่เจ้าเฮนรี่ทำไว้ยังไม่เป็นไร เพราะว่าปิดฝาไว้ค่ะ แต่ในที่สุดเื่มื่อพื้นเปียก เกิดอะไรขึ้นเอ่ย.... เฮนรี่ลื่นค่ะ เลยกระแทกทุกอย่างฟังหมดไม่เป็นท่าค่ะ การนัดเพื่อนในวันนี้เป็นอันล้มเหลวค่ะ เฮนรี่โทรหาเพื่อนยกเลิกนัดค่ะ มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้ไหมคะ...

มีแน่นอนค่ะ ผ้าที่เฮนรี่ผูกไว้หลุดค่ะ น้ำจึงไหลออกมาเต็มบ้าน ไม่ต้องพูดถึงค่ะ ผู้เขียนวาดรูปซะเห็นภาพเลยค่ะ สุดท้ายเฮนรี่ต้องย้ายบ้านค่ะ

ผู้เขียนทิ้งปมไว้อีกแล้วค่ะ เมื่อเฮนรี่ย้ายบ้านใหม่จึงชวนเพื่อนคนเดิมมาเที่ยวบ้านใหม่ ระหว่างที่กำลังจะเปิดประตูรับเพื่อนเข้าบ้าน เหลือบไปเห็นมดบนพื้นอีกแล้วค่ะ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปนะ ลองคิดกันดูค่ะ


วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2556

4.Breads and Honey ที่น่าประทับใจ



วันนี้รวมซีรีย์ของผู้เขียนในดวงใจมาค่ะ Frank Asch เดี๋ยวนี้ทำอะไรก็ต้องเป็นซีรีย์ใช่ไหมคะ เหมือนพวกคุณชายวังจุฑาเทพทั้งหลาย  Frank Ash เป็นผู้เขียนที่มีอารมณ์ขัน พร้อมสอดแทรกสอนการมองอะไรให้เด็กๆและผู้ใหญ่อย่างเราๆ ได้คิดตามในทุกเรื่องที่เค้าเขียนขึ้นมา





เล็กเริ่มอ่านหนังสือเรื่องแรกของเค้าคือ Popcorn เล่มนี้ดูธรรมดา แต่ก็สนุกในสายตาเล็ก และแฝงการสอนว่า อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี

เรื่องถัดมาคือ Moonbear's Deam เป็นเรื่องสนุก ปน ตลก ที่เกิดขึ้นกับหมีน้อยตัวนี้โดยบังเอิญให้เหมือนจริง อ่านแล้วเด็กจะเกิดการคิดว่ามันจริงหรือเปล่า







ส่วนเรื่องที่จะมารีวิววันนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้วประทับใจที่สุดค่ะ คือ  Bread and Honey เรื่องนี้ตลกมากๆค่ะ หัวเราะกันกับลูก คาดว่าผู้เขียนคงคิดจะสอนลูกเกี่ยวกับเรื่อง "ความมั่นใจในตัวเอง"









วันหนึ่งหมีน้อยจะไปโรงเรียนเห็นว่าแม่กำลังอบขนมปัง จะขอกิน แม่บอกว่ายังร้อนอยู่ เดี๋ยวกลับจากโรงเรียนจะให้กินพร้อมกับราดน้ำผึ้งลงบนขนมปังด้วย









ในชั่วโมงเรียนหมีน้อยวาดรูปแม่ ได้สวยใช้ได้ทีเดียว ได้เวลากลับบ้าน หมีน้อยก็เอารูปกลับจะไปอวดแม่ซะหน่อย








ระหว่างเดินทางกลับก็เจอเพื่อนนกฮูก เลยโชว์รูปให้ดู เพื่อนนกฮูกก็บอกว่า

I just love it! Said Owl.
But you made the eyes too small.

หมีน้อยก็จัดการตามเพื่อนว่า







จากนั้นก็เจอจระเข้ เพื่อนบอกว่า

I just love it! Said Alligator.
But the mouth needs to be much,much bigger!

หมีน้อยก็จัดการตามเพื่อนว่า








จากนั้นก็เจอกระต่าย เพื่อนบอกว่า

I just love it! Said Rabbit.
But the ears are too short.

หมีน้อยก็จัดการตามเพื่อนว่า





เรื่องราวดำเนินต่อไปกว่าจะถึงบ้าน หมีน้อยยังได้เจอเพื่อนอีกมากมาย เช่น ช้าง สิงโต และ ยีราฟ
ซึ่งแต่ละคนก็มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เพื่อนๆจินตนาการได้ไหมคะว่า รูปแม่ของหมีน้อยจะออกมาในแนวไหนนะ เอาล่ะ มาดูกันเลยค่ะ




เมื่อมาถึงบ้าน หมีน้อยก็โชว์รูปที่วาดให้แม่ดู
Look what I made a picture of you!

ตรงนี้แหละค่ะ ที่เด็กๆ และ แม่ที่นั่งอ่านลุ้นว่าแม่หมีน้อยจะพูดอะไร









I love it! said his mother
Just the way it is? asked Ben.
Just the way it is, said his mother.
And she hung it on the refrigerator.





เป็นยังไงบ้างคะ คำตอบของแม่หมีน้อย เรียบร้อย ตามความรู้สึกของคุณแม่ที่นั่งอ่านให้ลูกฟังหรือเปล่าเอ่ย ถ้าเป็นเราจะพูดอะไรบ้างนะ ลองนึกตามดูค่ะ จะวิจารณ์รูปอย่างไร จะโกรธลูกไหม จะตินั่นตินี่หรือเปล่า เรื่องจบตรงที่หมีน้อยได้นั่งกินขนมปังราดน้ำผึ้งอย่างเอร็ดอร่อย

เห็นหรือเปล่าคะว่าผู้เขียนได้แฝงการสอนไว้ในเรื่อง ที่จริงแล้วเราไม่ต้องไปตามคนอื่นพูดก็ดีอยู่แล้ว
แต่ละคนก็มีความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองถนัดและคุ้นเคย เพราะฉะนั้นให้มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ สุดท้าย ท้ายสุด คือแม่ ผู้ไม่หัวเราะ หรือ โกรธ กับรูปที่เจ้าหมีน้อยยื่นให้ค่ะ แม้ว่ามันจะน่ากลัวมาก ก็ตาม

  

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

3.Caps For Sale นิทานคลาสสิค

หนังสือคลาสิก ธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ของผู้เขียนชาวรัสเซีย Esphyr Slobodkina  ซึ่งขายได้มากกว่า 2,000,000 เล่ม และได้แปลไปเป็นภาษาอื่น มากกว่า 12 ภาษาทั่วโลก ของไทยเราก็มีนะคะ

                                         
Caps! Caps for Sale! Fifty Cents a Cap.

เป็นคำร้องเรียกลูกค้าของพ่อค้าขายหมวกที่เดินไปตามถนนในหมู่บ้านต่างๆ แต่พ่อค้าคนนี้ไม่ธรรมดา เพราะว่ามีวิธีเรียงหมวกที่แตกต่าง เค้าไม่ได้แบกไว้ที่ไหล่ แต่วางไว้บนศีรษะสูงขึ้นไปโดยมีหมวกหลายสีให้เลือก นี่เป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่งที่ผู้เขียนสอดแทรกไว้ให้เด็กๆสังเกตได้ง่าย อีกทั้งผู้ปกครองที่อ่านหนังสือให้เด็กฟัง สามารถพูดคุยและถามคำถามให้เด็กตอบได้มากมายเลยค่ะ ยกตัวอย่างเช่น
                                                          
How many hats are there?
What color are the hats?
Where are the red hats?
Who is holding the hats?



หลังจากเดินมานานก็ยังไม่มีใครซื้อหมวก พ่อค้าขายหมวกต้องการหาที่พักผ่อนจึงเดินออกจากเมืองไป และนั่งพักใต้ต้นไม่ใหญ่ เค้าตรวจสอบดูว่าหมวกตั้งตรงอยู่ดี ก่อนที่จะงีบหลับไป










แต่น........... แต้น....... หลังจากเค้าตื่นขึ้นมา หมวกสูงๆที่ว่าก็หายไป อันนี้แหละค่ะ  พอเปิดหน้านี้ขึ้นมาฝึกให้เด็กสังเกตนะคะ ตอนแรกยังไม่ต้องบอกเด็กๆค่ะ ดูซิว่า เด็กๆสังเกตเห็นอะไรหรือเปล่า


             







เค้าหาจนทั่ว ด้านซ้าย ด้านขวาก็ยังไม่เจอ ในที่สุดมองขึ้นไปด้านบน ก็เลยเห็น.........เจ้าลิงจ๋อจอมซนทั้งหลายพร้อมกับหมวกของเค้า

เค้ายกมือทั้งสองข้างพร้อมกับพูดว่า

 You, monkey you. You give me back my caps.
ลิงก็ยังไม่ให้ พร้อมกับที่ลิงก็ยกมือสองข้างขึ้น พร้อมกับส่งเสียง Tsz, Tsz                              

ชักโกรธแล้วนะ กระทืบเท้า ลิงก็กระทืบเท้าตามในที่สุดเค้าโกรธมาก ถอดหมวก ขว้างลงพื้น อะไรจะเกิดขึ้นเอ่ย???  เดาได้ไหมคะ  ลิงขว้างหมวกลงมาที่พื้นทั้งหมดค่ะ ยิ้มแล้วใช่ไหมคะ




เรื่องจบที่พ่อค้า เก็บหมวกเข้าที่เดิม แล้วเดินไปขายหมวกต่อค่ะ
               
อย่าลืมชี้ชวนให้เด็กๆดูนะคะ ว่าเค้าวางหมวกเหมือนเดิมหรือเปล่าค่ะ แล้วคิดว่าวันนี้เค้าจะขายหมวกได้หรือเปล่าเอ่ย ลิงจะตามมาเอาหมวกอีกหรือเปล่า หมวกจะหล่นไหม โอ้โฮ....คำถามน่าคิดทั้งนั้นเลย



วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

2.The Red Book หนังสือเสริมจินตนาการ

       

สำหรับวันนี้ เล็กจะมารีวิวหนังสือเล่มสีแดงแป๊ดเล่มนี้ The Red Book by Babara Lehman  ซึ่งเป็นถือว่าเป็นเรื่องแรกๆที่อ่านกับลูกค่ะ เล่มนี้เป็นหนังสือมือสอง ปกแข็ง ตอนได้มานั้นมีปกหุ้มอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเก่ามากๆ แต่ด้านในใหม่เอี่ยมเลยค่ะ สงสัยคนคงมองกันแค่ด้านนอกก็ตีค่าด้านในกันแล้ว ก็เลยเหลือตกถึงมือเราค่ะ ทำให้นึกถึงประโยคนี้ค่ะ     Don't judge the book by its cover. (อย่ามองกันแค่ภายนอก)
ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นมา หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนต้นแบบ ที่เสริมให้ลูกมีจินตนนาการ และให้ลูกรู้จักเล่าเรื่องเองเป็นค่ะ


หลังจากเปิดดูด้านในแล้วก็อึ้งไป 3 วินาทีค่ะ เกิดคำถามขึ้นทันทีในสมองค่ะ
          1.ทำไมด้านในใหม่แบบนี้ ฝรั่งเค้าอ่านกันยังไงนะ ไม่ยับ
          2.ทำไมไม่มีตัวหนังสือ (Wordless book)
          3.แล้วจะอ่านให้ลูกฟังยังไง ภาษาอังกฤษก็แข็งแรงเหลือเกิน
          4.หรือว่าไม่ต้องอ่าน เปิดรูปดูกันเอาเอง เดาเรื่องกันเอาเอง (ขำแย่ล่ะ)      
หนังสือเล่มนี้มีภาพที่สวยสบายตามาก ใช้ภาพสื่อแทนคำพูดได้ดีทีเดียว เด็กสามารถเข้าใจและเดาเนื้อเรื่องได้ทันที

                                          เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเก็บหนังสือสีแดงได้ในวันหิมะตก


                              เมื่อเปิดหนังสือดู ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ก็เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งอยู่ในหนังสือ


                           ส่วนเด็กชายเองก็เห็นเด็กผู้หญิงอยู่ในหนังสือเช่นกัน อันนี้ล่ะค่ะ สื่อได้ดีทีเดียว


                                    หลังเลิกเรียน เด็กหญิงซื้อลูกโป่ง แล้วก็ลอยไปกับลูกโป่ง


                                               ไปหาเด็กชายคนนั้นถึงทะเลเลยทีเดียว


                                  เรื่องจบโดยทิ้งปมไว้ว่ามีผู้ชายอีกคนหนึ่งเก็บหนังสือสีแดงได้อีกครั้ง


เล็กชอบที่หนังสือภาพสวย มีรายละเอียดดีเวลาหิมะตก ดูมีมนต์ขลังยังไงก็ไม่รู้ค่ะ และหนังสือยังสามารถทิ้งปมปริศนาให้เราได้คิดกันต่ออีกด้วยว่า เมื่อผู้ชายคนนี้เก็บหนังสือเล่มนั้นได้ เค้าจะได้เจอใครกันน๊า ลองจินตนาการกันดูนะคะ